วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่


ไร่องุ่นในฝรั่งเศษที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่น กับ ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ของไทยกับควาย




บทความนี้ขอแสดงความเคารพต่อผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง...........

ชาวนา
ก่อนเสียงนกแว้วร้องกว่าพระอาทิตย์จะทอแสงรุ่ง มีคนกลุ่มใหญ่เตรียมออกไปทำภาระกิจกันแล้วด้วยเครื่องแบบที่มอซอ(เสื้อขาดกางเกงปะแล้วปะอีก) โดยผู้คนเหล่านี้ต่างคนต่างรู้สึกขนขวายมุ่งหน้าสู่ทุ่งสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา และแล้ววันแห่งการทำนาก็เริ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง
ชาวนาไทย
เป็นอาชีพที่คนทั่วไปไม่นิยมส่งลูกหลานที่เรียนหนังสือแล้วมาเป็นกัน หรือว่าเป็นคำอีกคำที่ใช้บอกเด็กที่ขี้เกียจเรียนว่า(ถ้ามึงไม่เรียนมึงอยากจะมาทำนาหรือไง) จนเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอาชีพที่สังคมให้ค่านิยมที่แตกต่างจากคำว่าครู,หมอ,พยาบาล,ทหาร,ตำรวจ หรือ นักการเมือง ที่ให้ค่าคนที่ทำอาหารหลักให้แก่ประเทศและส่งออกอาหารที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่เรียกว่า(ข้าว) โดยนัยแห่งความสำคัญไม่อาจจะแยกออกจากวิถีชีวิตของคนเอเซียได้เลยจนบางทีเข้าลึกจนถึงวัฒนธรรมเลยทีเดียว เช่นบางลัทธิให้มีเทวดาประจำ ที่ต้องกราบไหว้บูชากันทุกๆปี(พระแม่โพสพ)จนถึงศาสนาก่อนสมัยพุทธกาลยังต้องมีพิธีในการให้กำลังใจกับผู้ที่ผลิตข้าวโดยให้กษัตริย์ในแว่นแคว้นมาเป็นประธานประกอบพิธีจนถึงปัจจุบันบางประเทศยังมีการทำพิธีนี้อยู่
คนไทยกับคำว่าข้าว จึงไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่ทานกันประจำตั้งแต่เกิดจนตายก็ว่าได้ โดยคำว่าอาหารแถบไม่ค่อยได้ออกปากจากคนไทย ถ้าถามว่าทานอะไรมาหรือยัง ก็จะถามว่า(กินข้าวมาหรือยัง)เป็นต้น ข้าวเป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกประเพณีของคนไทยมาแต่เดิม เช่นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะใช้ข้าวมาเป็นส่วนประกอบร่วมอยู่ด้วย

คนไทยกับคำว่าชาวนา
คำจำกัดความของ สารานุกรมเสรีให้ไว้ว่า ชาวนา คืออาชีพทางเกษตรกรรม ในประเทศไทยมักมีความหมายถึงอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก ชาวนาในประเทศไทยนับว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด เพราะข้าวเป็นอาหาร หลักของคนไทย อาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนไทย ที่สืบทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่โดยสงบเงียบในชนบทการทำงานของชาวนาจะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มปลูกข้าวนาปรัง หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยงปศุสัตว์หรือสัตว์อื่น ๆ เสริม เช่น ปลา และ เป็ด เป็นตัน โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตไปพร้อม ๆ กัน ส่วนใหญ่ข้าวจะปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งคำเรียกภาคกลาง ว่า "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของเอเซีย

จากคำจำกัดความนี้ สะท้อนถึงงานอันหนักยิ่ง กว่าชาวนาจะได้ข้าวมาแต่ละเมล็ดต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกันอย่างมาก ซึ่งอาชีพนี้ไม่ได้ทำการขดโกงใคร และ ยืนอยู่ได้บนลำแข่งของตัวเองอย่างแท้จริงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ปัจจุบันความสำคัญของชาวนากลับเป็นเพียงลักษณะที่คนทั้วไปที่เห็นว่าเป็น คนจนๆ ใส่เสื้อผ้าขาดๆ โทรมๆ เป็นหนี้ ขี้โรค ไม่มีความรู้ ต่ำต้อยเพียงดิน โดยพวกเขาต่างไม่ตอบโต้และยังคงทำนาเรื่อยมาอย่างไม่ลดละ เอาหลังสู่ฟ้าเอาหน้าสู่ดิน จนรัฐบาลในอดีตยกย่องชาวนาว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ซึ่งได้ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย และสามารถทนต่อภาวะวิกฤติต่างๆในอดีตโดยไม่สนกับผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใด ตราบใดที่ยังมีน้ำไว้หล่อเลี้ยงชาวนาก็ยังสามารถสร้างผลผลิตไว้ให้สำหรับประชากรในประเทศได้อย่างพอเพียงเสมอ และยังเหลือส่งไปขายทำรายได้เข้าประเทศเป็นเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย แต่ยังมีข้อส่งสัยที่ว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้ยังจนอยู่เหมือเดิมทั้งๆที่ผลผลิตของพวกเขาทำรายได้หลักเข้าประเทศทุกๆปี มีอะไรที่มากไปกว่ายี้ปั๊วซาปั๊ว ที่รับซื้อข้าวต่อจากชาวนาหรือไง ทำไมชาวนาถึงไม่รวมตัวกันขายข้าวเสียเอง คนที่รวยไม่ได้ทำนา คนที่ทำนาไม่ได้รวย มันเกิดอะไรขึ้นกับชาวนาไทยที่ถูกซ้ำเติมให้เป็นคนจนหนักลงเข้าไปอีก นี้เป็นข้อสงสัย ที่ยังต้องการคำตอบ หรือผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยเขาต้องการให้เป็นแบบนี้ นั้นก็ยากที่จะเดาได้

ในทางกลับกันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ มีนักเรียนนักศึกษาที่จบ ปริญญาตรี ปริญญาโท เพื่อมาเป็นชาวนา ล่ะ จากปัจจุบันประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ ที่ ๖ ของโลกในขณะที่ชาวนายังเป็น คนจนๆ ที่ถูกสังคมไทยดูถูกว่าต่ำต้อย ไร้การศึกษา แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโดยการพัฒนาการผลิตจากคนรุ่นใหม่ที่ใช้ความรู้บวกปัจจัยในการผลิตที่มาจากบรรพบุรุษจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาชนชาวนา ที่สามารถใช้เครื่องมือในการทำงานวิเคราะห์หาข้อมูลแก้ไขได้โดยใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้เป็นระบบการจัดการ ที่เน้นการพัฒนาชุมชน และการกระจายสิ้นค้าแบบเน้นการตลาด บวกภูมิปัญญาดังเดิม โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจเช่นในประเทศฝรั่งเศส แต่ละเขตของประเทศเขาจะมีของที่ระลึกที่มาจากธรรมชาติเช่นไวน์จากองุ่นในไร่ ที่มีรสชาติต่างจากอีกเขตหนึงที่มีรัศมีการเดินทางไม่ถึง สามสิบ กิโลเมตร ผมยังเห็นด้วยกับนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯในเรื่อง นโยบาย หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ว่าถ้าใช้ภูมิปัญญาต่อเติมจากของที่เรามีอยู่แล้วจะเกิดสิ่งใหม่และสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อชุมชน อีกทางหนึ่ง

ในส่วนตัวผมคิดว่า สังคมชาวนายังขาดผู้ที่มีความรู้มาเป็นส่วนร่วมในการผลิตและต่อยอด การพัฒนาในการเพิ่มมูลค่าการผลิต ต่อพื้นที่ที่มีจำนวนเท่าเดิม และการกระจายผลผลิตส่งตลาดโดยตรงทั้งในและต่างประเทศ โดยมีลักษณะในการผลิตที่เป็นแบบออแกนิคมากขึ้นและเน้นสุขภาพให้กับผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเป็น ข้าวอย่างเดียว อาจแปลรูปเป็นสิ่งของอุปโภคอื่นๆได้เช่น น้ำยานวดผมที่ทำจากน้ำนมข้าวเป็นต้น

ท้ายนี้ขอสดุดีชาวนาไทยและบทความนี้ขอแสดงความเคารพต่อผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง...........ชาวนา
ตาแป้น
จำกัดความของข้าวและที่มาพร้อมทั้งรายละเอียดข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ข้าว เป็นพืชล้มลุกตระกูลหญ้าที่สามารถกินเมล็ดได้ ถือเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวเช่นเดียวกับหญ้า ต้นข้าวมีลักษณะภายนอกบางอย่าง เช่น ใบ กาบใบ ลำต้น และรากคล้ายต้นหญ้า ในประเทศไทย ข้าวหอมมะลิมีสายพันธุ์ในประเทศและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก
พันธ์ของข้าว

ข้าวที่นิยมบริโภคมีอยู่ 2 สปีชีส์ใหญ่ๆ คือ
Oryza glaberrima ปลูกเฉพาะในเขตร้อนของ
แอฟริกาเท่านั้น
Oryza sativa ปลูกทั่วไปทุกประเทศ ข้าวชนิด Oryza sativa ยัง แยกออกได้เป็น
indica มีปลูกมากในเขตร้อน
japonica มีปลูกมากในเขตอบอุ่น
Javanica
ข้าวที่ปลูกใน
ประเทศไทยเป็นพวก Indica ซึ่งแบ่งออกเป็นข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ ข้าวยังได้ถูกมนุษย์คัดสรรและปรับปรุงพันธุ์มาโดยตลอดตั้งแต่มีประวัติศาสตร์การเพาะปลูก ข้าวในปัจจุบัน จึงมีหลายหลายพันธุ์ทั่วโลกที่ให้รสชาติและประโยชน์ใช้สอยต่างกันไป พันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงระดับโลกของไทย คือ ข้าวหอมมะลิ


ลักษณะที่สำคัญของข้าวแบ่งออกได้เป็นลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต และลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ ดังนี้
ลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต
ลักษณะที่มีความสัมพันธุ์กับการเจริญเติบโตของต้นข้าว ได้แก่ ราก ลำต้น และใบ
รากเป็นส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ใช้ยึดลำต้นกับดินเพื่อไม่ให้ต้นล้ม แต่บางครั้งก็มีรากพิเศษเกิดขึ้นที่ข้อซึ่งอยู่เหนือพื้นดินด้วย ต้นข้าวไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยแตกแขนงกระจายแตกแขนงอยู่ใต้ผิวดิน
ลำต้น มีลักษณะเป็นโพรงตรงกลางและแบ่งออกเป็นปล้องๆ โดยมีข้อกั้นระหว่างปล้อง ความยาวของปล้องนั้นแตกต่างกัน จำนวนปล้องจะเท่ากับจำนวนใบของต้นข้าว ปกติมีประมาณ 20-25 ปล้อง
ใบ ต้นข้าวมีใบไว้สำหรับสังเคราะห์แสง เพื่อเปลี่ยนแร่ธาตุ อาหาร น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแป้ง เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและ สร้างเมล็ดของต้นข้าว ใบประกอบด้วย กาบใบและแผ่นใบ
ลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์
ต้นข้าวขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ลักษณะที่สำคัญเกี่ยวกับการ ขยายพันธุ์ ได้แก่ รวง ดอกข้าวและเมล็ดข้าว
รวง รวงข้าว (panicle) หมายถึง ช่อดอกของข้าว (inflorescence) ซึ่งเกิดขึ้นที่ข้อของปล้องอันสุดท้ายของต้นข้าว ระยะระหว่างข้ออันบนของปล้องอันสุดท้ายกับข้อต่อของใบธง เรียกว่า คอรวง
ดอกข้าว หมายถึง ส่วนที่เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียสำหรับผสมพันธุ์ ดอกข้าวประกอบด้วยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่นประสานกัน เพื่อห่อ หุ้มส่วนที่อยู่ภายในไว้ เปลือกนอกใหญ่แผ่นนอก เรียกว่า เลมมา (lemma) ส่วนเปลือกนอกใหญ่แผ่นใน เรียกว่า พาเลีย (palea) ทั้งสองเปลือกนี้ ภายนอกของมันอาจมีขนหรือไม่มีขนก็ได้
เมล็ดข้าว หมายถึง ส่วนที่เป็นแป้งที่เรียกว่า เอ็นโดสเปิร์ม (endosperm) และส่วนที่เป็นคัพภะ ซึ่งห่อหุ้มไว้โดยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่น เอ็นโดสเปิร์มเป็นแป้งที่เราบริโภค คัพภะเป็นส่วนที่มีชีวิตและงอกออกมาเป็นต้นข้าวเมื่อเอาไปเพาะ เป็นต้น ข้อมูลภาพและเนื้อหาจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

แผ่นโปสเตอร์หนังกลางแปลง


ฟังเพลงจากโปสเตอร์http://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450

ท่าน(ที่มีอายุ๓๐ปี่ขึ้นไป)ยังจำบรรยากาศเหล่านี้ได้หรือไม่ กล้วยทอด ปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นย่าง น้ำหวานสีสันสดใส แสงสลั่วๆของตะเกียงน้ำมัน เพลงลูกทุ่ง และผ้าห่ม พร้อม เสื่อปูนั๋ง การสนทนากันของเพื่อนที่มาร่วมเหตุการณ์ การพบปะกันของเพื่อนๆข้างบ้าน และเสียงของรีนและหนามเตยที่ประกบกันในเครื่องฉายหนัง และความสนใจในเรื่องอย่างเดียวกัน ณ วันเวลาสถานการณ์เดี่ยวกัน โดยรวมแล้วเป็นความทรงจำที่ยากที่จะลืมเลือนซึ่งได้จากหนังกลางแปลง ที่ก่อนจะมีการเริ่มฉายก็จะมีการโฆษณาว่าจะมีหนังเรื่องอะไรฉายบ้างในคืนนี้ โดยใช้แผ่นโปสเตอร์หนัง ที่เป็นภาพวาดสีน้ำมันจะทำหน้าที่ของมันต่อผู้ที่สนใจโดยการเล่าเรื่องราวในภาพยนต์ที่จะนำเสนอผ่านพู่กันสีและตัวหนังสือออกมาเป็นภาพวาดที่ถ่ายทอดอารมณ์ถึงผู้รับรู้ได้เป็นอย่างดีโดยผู้รับรู้สามารถทราบรายละเอียดเรื่องราวได้อย่างคล้าวๆผ่านแผ่นกระดาษนี้

เรื่องราวเหล่าหนี้ได้ฝังติดอยู่ในจิตใจของผมอย่างไม่มีวันลืมจากการที่ได้ตระเวนไปที่ต่างๆกับ พ่อซึ่งมีประสปการณ์ทำหนังกลางแปลงมาเกือบสี่สิบปี ในการไปเสนอให้ความบันเทิงในยามค่ำคืนแก่เจ้าภาพที่จ้างบริการหนังกลางแปลงไปฉาย ณ บริเวณบ้านตัวเจ้าภาพเอง ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานทำบุญบ้าน งานแต่งงาน งานโกนจุก วันเกิด จนถึงวันตาย(งานศพ) ก็สามารถนำหนังกลางแปลงไปฉายซึ่งก็ได้สร้างความครึกครื้นให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี เพราะสมัยก่อนความบันเทิงอย่างเช่นโทรทัศน์ยังเข้าไม่ถึงทุกครัวเรือนเหมือนในปัจจุบัน และการคมนาคมก็ยังไม่สะดวกหนังกลางแปลงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆและความสนุกสนานข้อคิด คตินิยม การโฆษณาช่วนเชื่อ เข้าถึงจิตใจประชาชนได้อย่างซึมซาบมากที่สุดก็ว่าได้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือน คุณกำลังหิวน้ำอยางมาก อยู่กลางแดดเดินทางมาเจอร่มข้างทางมีน้ำไว้คอยบริการ ท่านย่อมจะจดจำสถานที่นี้ได้อย่างไม่่ลืมเลือนไปอย่างง่ายๆ เช่นนั้น ผมยังจำการไปเร่ฉายหนังในพื้นที่ห่างไกลความเจริญหรือไกลปืนเที่ยงก็ว่าได้ในสมัยซึ่งผมยังเป็นเด็กการคมนาคมในต่างจังหวัดยังไม่สะดวกและก็ยังมีขบวนการคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกระจายอยู่โดยรอบอย่างห่างๆ ซึ่งชาวบ้านและเหล่าข้าราชการเรียกบริเวณพื้นที่นี้ว่าพื้นที่สีชมพู โดยรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเข้าใจกับประชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนบริเวณนี้ยากจนและโดนข้าราชการข่มเหงรังแก จึงมีต่อต้านการปกครองที่มาจากส่วนกลางเกิดขึ้น และไม่รับฟังการโฆษณาใดๆจากฝ่ายรัฐบาลเพราะเขาไม่ไว้วางใจ เห็นพวกเขาเป็นพวกคนยากจนไม่รู้หนังสือ ฝ่ายราชการจึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปพัฒนาแม้เป็นการพัฒนาที่จริงใจก็ตาม แต่ชาวหนังเร่กลับตรงกันข้าม เราให้การบริการเร่หนังไปเรื่อยๆ แล้วแต่พื้นที่จะอำนวย การหาพื้นที่ฉายหนังนั้นก็จะมีการใช้ส่วนล่วงหน้าเข้าไปหาข่าวโดยติดโปสเตอร์หนังไปด้วย เพื่อให้ชาวบ้านรับรู้ว่าเป็นพวกหนังกลางแปลง ไม่ใช่ราชการมาหาข่าวชาวบ้าน โดยเข้าไปตามร้านกาแฟ ในหมู่บ้าน ถามถึงจำนวนครัวเรือน และหาสถานที่ว่ามีพื่้นที่ไหนสามารถให้การสนับสนุนการฉายหนังได้บ้าง เป็นต้น และทำการปิดวิก เข้าชมต่อไป ซึ่งเหล่านี้เป็นการสร้างมวลชนและความบันเทิงให้กับคนในชนบทห่างไกลความเจริญได้เป็นอย่างดี

ในสภาวะปัจจุบันลักษณะการทำหนังกลางแปลงแบบที่ว่ามานี้อาจจะเหลือน้อยเต็มที ความเจริญทุกรูปแบบให้การสนองตอบความต้องการเป็นลักษณะปัจเจกบุคคลไปแล้ว สังคมหนังกลางแปลงแทบจะไม่มีให้เห็น การสนทนากันในหมู่ชาวบ้านในสังคมเริ่มห่างกันไป จนเหมือนกับว่าเรารู้จักคนใกล้บริเวณบ้านเราน้อยลงไปทุกที นั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีการแตกแยกในสังคมให้เห็นมาโดยลำดับ ในส่วนตัวกระผมหนังกลางแปลงมีส่วนช่วยในการพัฒนาในทางจิตใจและความรักสมัครสมานในสังคมอยู่ไม่มากก็น้อย เป็นที่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เราไม่มีโอกาสมากนักที่จะกลับไปหาความสุขแบบเดิมได้อีกแล้ว โดยปัจจุบันนี้มีความบันเทิงรูปแบบใหม่ๆมาสนองตอบความต้องการเน้นการบริโภคนิยมแบบเห็นแก่ตัวหรือไม่มีการเผื่อแผ่มากยิ่งขึ้น เช่นการดูหนังดีวีดี การเล่นเกมส์แบบเอาชนะ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้กำลังสร้างความแปลกแยกให้สังคมและชุมชนห่างขึ้นไปทุกขณะ ท้ายนี้ก็ได้แต่ระลึกถึงหนังกลางแปลงในอดีตที่ยังอยู่ในหัวใจเรื่อยมาตราบเท่า...........ปัจจุบัน ฟังบทเพลงจากโปสเตอร์ภาพยนต์เทพธิดาดอยได้จากhttp://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450

ตาแป้น

วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เราเป็นใคร


วัฒนธรรมการตีกลองยาวของกลุ่มชนในยูนาน





















จักรวรรดิมองโกลประมาณ พ.ศ. 1800-1900พื้นที่ทางใต้กินอาณาบริเวณประเทศจีนทั้งหมดรวมถึงพม่า

ลักษณะชาติพรรณและการแต่งกายของ ชาวเขาเผ่าม้งและชาวมองโกล


เสียมกุกภาพสลักนูนต่ำรอบประสาท นครวัด ในประเทศกัมพูชา



นักรบชาติอาชาไนย กุบไลข่าน ที่มีหลักนิยมในการต่อสู้โดยใช้ม้าเป็นหลัก

ทหารล้านนา


ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในยุคชาตินิยมเคียงคู่กับสหายเก่าแก่ที่ชาตินิยมรุนแรงไม่แพ้กันก็คือประเทศ กัมพูชา จึงต้องการแลกเปลี่ยนทัศนะทางความคิดแก่กันและกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยการหาข้อมูลมาประกอบในการแกะเรื่องราวที่ยากแก่การค้นหาว่าเราคือใคร? และจะจัดว่าเป็นพวกใดเหล่าใดโคตรใครอย่างไรกัน จากประวัติศาสตร์ที่มีการค้นคว้ามาแล้วบ้าง จากข้อมูลนักวิชาการทางโบราณคดีบ้าง จากความเห็นที่น่าสนใจ ของบุคคลต่างๆ โดยทั้งนี้มิได้เจตนาจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ชนชาติไทยแต่อย่างใดแต่ใคร่จะแสดงความคิดเห็นแบบเชิงเหตุและผลเสียมากกว่า การสร้างกระแสความรักชาติจนลืมหลักความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเหตุและผล โดยข้อมูลเหล่านี้มีความน่าสนใจและน่าติดตามหาโคตรเถาเหล่ากอ ของไทยว่าเป็นอย่างไร ทำไมต้องเป็นไทย มีลักษณะความแตกต่างกับเพื่อนบ้านมากแค่ไหน และอะไรที่แตกต่างกับเขาถึงสามารถแยกแยะว่าใครเป็นไทยและใครไม่ใช่ไทย



1.ประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบในประเทศไทยที่เก่าแก่ที่สุดคือที่บ้านเชียง โดยสิ่งของที่ขุดพบมาจากในสมัยยุค 3,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีการพัฒนาเครื่องบรอนซ์ และมีการปลูกข้าว รวมถึงการติดต่อระหว่างชุมชนและมีระบอบการปกครองขึ้น มีหลายทฤษฎีที่พยายามหาที่มาของชนชาติไท ทฤษฎีดั้งเดิมเชื่อว่าชาวไทยในสมัยก่อนเคยมีถิ่นอาศัยอยู่ขึ้นไปทางตอนเหนือถึงแถบเทือกเขาอัลไต จากนั้นได้มีการทยอยอพยพเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้สู่คาบสมุทรอินโดจีน หลายละลอกเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายพันปี โดยเชื่อว่าเกิดจากการแสวงหาทรัพยากรใหม่ แต่ทฤษฎีนี้ขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าเชื่อถือได้ ในขณะเดียวกันก็มีหลายทฤษฎีที่อธิบายว่าเดิมชนชาติไท ได้อาศัยอยู่เป็นบริเวณกว้างขวางในทางตอนใต้ของจีนจนถึงภาคเหนือของไทยและได้มีการอพยพลงใต้เรื่อย ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน จากนั้นได้อาศัยกระจัดกระจายปะปนกับกลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่ โดยไม่มีปัญหามากนัก ซึ่งอาจเนื่องด้วยดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนในช่วงเวลานั้นยังมีพื้นที่และทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีกลุ่มชนอาศัยอยู่เบาบาง ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจึงไม่รุนแรง รวมทั้งลักษณะนิสัยของชาวไทนั้นเป็นผู้อ้อนน้อมและประนีประนอม ความสัมพ้นธ์ระหว่างชาวไทยกลุ่มต่างๆ อาจมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดอยู่บ้าง ในฐานะของผู้มีภาษาวัฒนธรรมและที่มาอันเดียวกัน แต่การรวมตัวเป็นนิคมขนาดใหญ่หรือแว่นแคว้นยังไม่ปรากฏ ในเวลาต่อมา เมื่อมีชาวไทยอพยพลงมาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนเป็นจำนวนมากขึ้น ชาวไทยจึงเริ่มมีบทบาทในภูมิภาค แต่ก็ยังคงจำกัดอยู่เพียงการเป็นกลุ่มอำนาจย่อย ๆ ภายใต้อำนาจการปกครองของชาวมอญและเขมร กระทั่งอำนาจของเขมรในดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มอ่อนกำลังลง กลุ่มชนที่เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของเขมร รวมทั้งกลุ่มของชาวไทย ในช่วงต่อมา มีการปกครองของหลายอาณาจักรในบริเวณที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ได้แก่ ชาวมาเลย์ ชาวมอญ ชาวเขมร โดยอาณาจักรที่สำคัญได้แก่ อาณาจักรทวารวดีในตอนกลาง อาณาจักรศรีวิไชยในตอนใต้ และอาณาจักรเขมรซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองที่นครวัด โดยคนไทยมีการอพยพมาจากดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้และทางใต้ของจีน ผ่านทางประเทศลาว โดยที่มาข้อมูลจากกีวีพีเดีย


2.มีนักโบราณคดีของไทยที่คิดว่าบรรพรุษของคนไทยไม่ได้หนีไปไหนก็คืออยู่ ณ ที่เดิมมานานแล้ว จากการอธิบายของนักศึกษาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรอย่าง อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ และ อนันต์ ชูโชติ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากร 12 ที่ช่วยกันเล่าถึงประวัติศาสตร์คนไทยพร้อมหลักฐานที่ปรากฏชัดเจนจากโบราณสถานเหล่านี้ว่าคนไทยอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต หรืออพยพมาจากไหน มีหลักฐานทั้งก่อนประวัติศาสตร์ (คือก่อนจะมีตัวหนังสือ) โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นหลุมศพที่บ้านปราสาท ซึ่งตั้งอยู่กลางชุมชนปัจจุบัน พบโครงกระดูกมนุษย์ ชายหญิงและถ้วยโถโอชามที่พิสูจน์แล้วมีอายุเก่าแก่ 2,500-3,000 ปี พอๆกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบที่บ้านเชียงและหลักฐานหลังประวัติศาสตร์คือ “ปราสาทหินพนมวัน” และ “ปราสาทหินพิมาย” ซึ่งมีอายุเก่าแก่พันกว่าปี มีจารึกเป็นภาษาเขมรเป็นหลักฐาน เพราะสมัยนั้น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ตั้งแต่ลพบุรีไปจนถึงกาญจนบุรี ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของ “เขมร” ซึ่งคนไทยสมัยก่อนชอบเรียกว่า “ขอม” ในยุคอาณาจักรชัยวรมันเรืองอำนาจ ภาคอีสานเขาเรียกว่า “เขมรสูง” เพราะอยู่บนที่ราบสูงเมืองสำคัญของเขมรในภาคอีสาน ก็คือ “เมืองพิมาย” จึงมีการสร้างปราสาทหินพิมายไว้ที่เมืองนี้ด้วยสถาปัตยกรรมเขมร จากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า ประตูปราสาทหินพิมายพุ่งตรงไปยัง ประตูเมืองนครธมในประเทศเขมร และมีการจารึกเรื่องราวไว้บนกำแพงประตูเป็นภาษาเขมรไว้ด้วยแม้ในยุคสุโขทัย สมัยที่ พ่อขุนรามคำแหง เรืองอำนาจ ก็ไม่ได้รุกล้ำ เข้าไปในดินแดนนครราชสีมาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเขมรจนถึงยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งทรงนิยมสร้าง “เมกะโปรเจกต์” เหมือนรัฐบาลไทยสมัยที่แล้ว โดยสร้าง “นครธม” ที่มีกำแพงเมืองยาวด้านละ 12 กิโลเมตร ด้วยหินและด้วยน้ำมือคนล้วนๆสร้างปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ อย่างยิ่งใหญ่มีการเกณฑ์ราษฎรชายนับแสนๆคนไปสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน ปล่อยให้ผู้หญิงและเด็กทำไร่ทำนาเลี้ยงหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานสร้างปราสาทเหล่านี้แทน ทำให้บ้านเมืองเกิดความอ่อนแอในที่สุดอาณาจักรเขมรก็ล่มสลายลงในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูก “พระเจ้าอู่ทอง” แห่งกรุงศรีอยุธยา ตีเอาเมืองมาเป็นเมืองขึ้นมากมาย แล้วประกาศตั้งตนเป็นอิสระ ต่อมาในสมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ทรงรวมเอา “เมืองโคราช” กับ “เมืองเสมา” เป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า “นครราชสีมา” โดยมี “เมืองพิมาย” เป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดนครราชสีมาด้วย อาณาจักรต่างๆที่เปรียบเหมือนแต่ละประเทศในปัจจุบัน แต่จากหลักฐานใหม่ที่อ้างอิงนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายหลักฐานอีกข้อทางประวัติศาสตร์ที่ว่า คนไทยใหญ่ในรัฐฉาน คนไทยลื้อในสิบสองปันนะ คนไทยอาหม ในรัฐอัสสัม เป็นเผ่าเดียวกันอย่างแน่นอนโดยพิจารณาจากความเชื่อทางศาสนา ระบบการปกครอง การปลูกสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมและภาษาได้ โดยที่มาของข้อมูลนี้จากคุณ คนไทยอยู่ที่นี่ เมื่อ[14 ก.พ. 50 - 18:38]ได้ทำการโพสต์ไว้ในเวปสนทนาภาษาปืนที่มีความหน้าสนใจเลยเอามาลงไว้เป็นข้อมูลโดยมีข้อมูลบางตอน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดดูได้ที่http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=36836


อย่างไรก็ดียังมีผู้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้คือ คุณ #5 โพสต์ในเวปสนทนาเดียวกันนี้เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2007, 06:43:26 AM ได้ทำการโพสต์ไว้ให้ความสำคัญอย่างน่าอ่านโดยมีสาระสำคัญดังนี้


ในการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ มีทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยดังนี้ครับ (ย่อมา)"...แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น มีความแตกต่างกันอยู่ 2 ทฤษฎี คือ


1.แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณประเทศจีนในกลุ่มนี้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปอีก 3 แนวคิด คือ


1.1 แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน คือบริเวณมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน


1.2แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนติดพรมแดนรัสเซีย


1.3 แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่ครอบคลุมบริเวณกว้างขวาง โดยตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ตั้งแต่ทางตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย


2. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยคือบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ศาสตราจารย์ พอล เบเนดิกต์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมนุษย์วิทยาชาวอเมริกันได้ทำการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ จากการค้นคว้าทำให้เชื่อได้ว่า ภาษาไทยเป็นภาษาใหญ่ของชนชาติเอเซีย อยู่ในตระกูลออสตริคหรือออสโตรนีเซียน แยกสาขาเป็นพวกไทย ชวา-มลายู และธิเบต-พม่า เผ่าพันธุ์ของคนไทยจึงไม่น่าจะเป็นพวกมองโกลซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศจีน แต่น่าจะเป็นพวกชวา-มลายู สาเหตุการรุกรานของพวกมอญ เขมร จากอินเดียเข้ามาในแหลมอินโดจีน น่าจะเป็นเหตุทำให้คนไทยขึ้นไปทางใต้ของจีน แต่เมื่อถูกจีนรุกรานก็ต้องถอยร่นไปในเขตแคว้นอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และบริเวณตังเกี๋ย หรือ บริเวณเวียดนามในปัจจุบัน นักวิชาการไทยที่สนับสนุนความคิดนี้คือ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐาน จากการเทียบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหิน ที่ขุดค้นพบในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี พบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอายุนับหมื่นปี มีร่องรอยความเจริญของมนุษย์ในประเทศไทยเมื่อประมาณ 3,000-5,000 ปี..."นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับชนชาติไทยอีกตำนานหนึ่ง (ท้าวเทพไททอง) ซึ่งอาจจะไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับมากนัก แต่ก็พึงรับไว้พิจารณาครับ


และตามหลักฐานทางโบราณคดีจากภาพสลักนูนต่ำที่ประสาทนครวัด นครทม ผมได้เอามาร่วมในการพิจารณาเพื่อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ของโลกใบนี้ให้ความสำคัญกับภาพสลักที่มีอายุกว่าพันปีชิ้นนี้โดยเป็นภาพนักรบโบราณที่มีเสี้อผ้าเครื่องแต่งกายแตกต่างจากทัพของเขมรที่อาจกล่าวได้ว่าทัพนี้ได้เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ซึ่งสามารถตีความได้จากภาพอย่างหลากหลายโดยนักวิชาการ


จิตร ภูมิศักดิ์ ตีความภาพนี้ว่าเป็น “ชาวสยามจากลุ่มน้ำกก” โดยยกหลักฐานด้านนิรุกติศาสตร์ (อักษรศาสตร์) ว่า กุก ในภาษาไทยอ่านว่า กก โดยระหว่างที่อาณาจักรขอมของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 รุ่งเรืองนั้น ชาวสยามแห่งลุ่มน้ำกกที่นำโดยขุนเจื่องซึ่งพงศาวดารล้านนาระบุว่าเป็นผู้ครองอาณาจักรเชียงแสน และเป็นบรรพบุรุษของพ่อขุนเม็งรายมหาราชก็กำลังรุ่งเรืองและทำการรบอยู่กับเมืองแถง ซึ่งชาวแถงเอง ก็มักส่งทหารไปช่วยจามรบขอมอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ ที่จะมีการช่วยเหลือกันทางทหารระหว่างสองอาณาจักร
ขณะที่ ศ.ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีความว่านี่เป็นกองทหารจากสุโขทัย เพราะเอกสารจีนเรียกคนไทยว่า “เสียม” มานานแล้ว ทั้งยังพิจารณาว่า ทหารแต่งตัวแบบคนป่าที่สลักอยู่นั้นมีใบหน้าที่คล้ายกับคนไทยคือหน้ารูปไข่ คิ้วโก่ง ดังนั้นนี่จึงน่าเป็นกองระวังหน้าจากสุโขทัยที่ส่งมาช่วยเมืองแม่ในฐานะประเทศราช
ส่วนนักวิชาการฝรั่งเศสตีความว่านี่เป็นทหารรับจ้างชาวสยาม โดยมีการให้ความเห็นว่ามีลักษณะที่มีการจัดทัพขาดระเบียบวินัยจากในภาพนูนต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับทัพอาณาจักรอื่นๆ

ทั้งอายุของนครวัดเกิดก่อนอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1781-1981) ราว 86 ปี (พ.ศ.1656-1695) ทั้งยังเกิดก่อนอยุธยา (พ.ศ.1893-2310) เกือบ สองร้อยปี ที่มาจากคุณ อุเจน กรรพฤิทธิ์ จากบล็อกอุษาคเนย์http://www.sarakadee.com/blog/sujane/?author=1


จากความคิดส่วนตัวของผู้รวมรวมบทความนี้ คนไทยน่าจะมีวัฒนธรรมทางภาษาเป็นหลักส่วนการตั้งถิ่นฐานนั้นยากแก่การค้นคว้าเนื้องด้วยความเกี่ยวพันธ์อย่างแยกกันไม่ออกระหว่างชนชาติทางเอชียที่มีการผสมปนเปไปมาระหว่างกันในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแถบภูมิภาคพรมแดนจีนติดกับอินเดีย ที่สำคัญคือลักษณะประเพณีและวัฒนธรรมต่างหากที่อาจบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวของชนชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแม่ปลาบู่ทองของชนชาติจ้วง ในมณฑลกวางสี ที่ต่อมากลายเป็นซินเดอเรล่านิทานตะวันตกไป การร้องรำทำเพลง จากคนไทยที่ชอบการเล่นกระทู้เพลงยาว หรือกลองยาวที่ปรากฏอยู่ให้เห็นได้แถบมณฑลยูนาน การทอถักสานที่มีการสะสมความรู้จากชนรุ่นต่อรุ่น การสร้างเรื่อนไม้ การนับถือศาสนา การทรงเจ้าเข้าผี วีถีการต่อสู่ ประเพณีแต่งงาน งานวันสงกรานต์ หรือวัฒนธรรมข้าว เหล่านี้สามารถเชื่อมโยงหมู่คนไทยได้เช่นกันจากเพลงชาติไทยที่หลวงวิจิตรวาทการ ได้แต่งไว้บางส่วนก็มีความน่าสนใจ เช่น ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่คลาด สามารถแสดงให้เห็นว่าชนชาติที่เรียกตนว่าไทยนั้นแท้แล้วมีหลากหลายเผ่า กระจายตัวกันและอยู่แบบรักสันติ คราวใดมีศึกสงครามก็จะทำการรวมพลังกันต่อสู่ และลืมอดีตที่เคยบาดหมางกันไว้ชั่วคราว โดยปกติแล้วคนไทยจะรักบ้านเกิดเมืองนอนไม่นิยมย้ายถิ่นฐาน และมีความห่วงแหนบ้านเกิดกรณีอพยพจากด้านใต้ของจีนนั้น ผมมีความคิดว่าน่าจะมีการกระจายตัว ลงมาตั้งหลักแหล่งกันแล้วในบางส่วนแถบพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงและที่อื่นๆ ที่อพยพอย่างใหญ่นั้นน่าจะเกิดหลังจากการรุ่กรานของชนชาติอื่นหรือสาเหตุอื่นนั้นก็ยากแก่การพิจารณา แต่ก็มีข้อมูลบางประการ ณ ช่วงเวลาของกองทัพกุบไลข่านเข้ามามีอิทธิพลแถบเอเชีย โดยที่เป็นน่าสังเกตุอยู่ว่ากองทัพจากทางเหนือนี้ไม่น่าจะมีความสามารถใช้กองทัพม้าธนูอันเกรียงไกลได้ จำต้องมีกองทัพที่ชำนาญในพื้นที่แถบแหลมอินโดจีนที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยกลุ่มชนที่มาใหม่ในดินแดนแหลมอินโดจีนนี้ก็ได้แก่ชนชาติพม่าที่มีเชื้อสายจากชนเผ่าธิเบตและกลุ่มชนชาติไทยหรือไต จากดินแดนแถบยูนานโดยชนชาติที่มิอิธิพลในพื้นที่เอเซียอาคเนย์อยู่ก่อนแล้วได้แก่ชนชาติมอญและอินเดียที่อยู่ในดินแดนแถบลุ่มอิรวะดีและชนชาติเขมรที่มีอิทธิพลอยู่ ณ บริเวณประเทศไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน การเข้าทำการรุกด้วยกองทัพที่ไม่ชำนาญภูมิประเทศนั้นเป็นการยากที่จะเอาชนะได้ กองทัพที่มีความเกรียงไกรนี้ จะไม่ใช้ทหารของตนที่ไม่ชำนาญภูมิประเทศและอากาศเข้าทำการรบเป็นแน่ ซึ่งจะให้ทัพใดเข้ารบเพื่อยึดอานาจักร พุกาม และ เขมรในเวลาต่อมานั้นก็คงจะหนีไม่พ้นกองทัพที่คุ้นกับพื้นที่ทั้งสองเผ่านี้เองโดยในปัจจุบันมีข้อสังเกตุว่าชนกลุ่มน้อยที่อยู่กระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาต่างๆนี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากกองทัพอันเกรียงไกรที่ทำการรุกมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้หรือไม่ ก็ไม่มีนักวิชาการหรือนักโบราณคดีคนใดให้คำตอบได้อย่างแน่แท้ แต่มีเอกสารจากราชสำนักจีนในสมัยพระเจ้ามังกุข่านปี ค.ศ.1253 หรือ พ.ศ. 1796 ได้เล่าถึงการเข้ารุกทำส่งครามกับอาณาจักรต้าลี่ หรือยูนาน ทีมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึกกับกลุ่มคนไทยปัจจุบันมากที่สุดโดยการพ้ายแพ้สงครามของต้าลี่อย่างใหญ่หลวงดังกล่าวทำให้แคว้นต้าลี่ทั้งแคว้นอพยพลงใต้และพบกับอาณาจักรอันอุดมสมบูรณ์โดยได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม จนกระทั้งมีความแข็งเกร่งและตั้งราชธานีของตัวเองได้ในที่สุดและหลังจากการบุกยึดและเข้าตีอาณาจักรพุกามของกุบไลข่านได้แล้ว ทางอาณาจักรต้าลี่ใหม่ก็คือ สุโขทัยจึงได้มีการเจรจาการเป็นพันธมิตรกับกุบไลข่าน หรือ เจ้ากรุงจีนเรื่อยมานั่นเอง จากประวัติศาตร์การส่งเครื่องราชบรรณาการที่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เป็นเวลาที่พวกมองโกลสามารถโค่นราชวงศ์ซ่งลงได้ และยึดครองจีนได้ทั้งหมด ต่อจากนั้นได้ส่งทูตไปยังอาณาจักรต่าง ๆ เรียกร้องให้ส่งคณะทูตนำบรรณาการไปถวาย หลังจากติดตามดูเหตุการณ์ระยะหนึ่ง พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงส่งทูตนำบรรณาการไปถวาย แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปกรุงจีนแต่อย่างใดความสัมพันธ์ในลักษณะรัฐบรรณาการมีความสำคัญเรื่อยมาตลอดสมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งต้นรัชกาลที่ ๔ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้จึงยุติลง



ดังนี้การที่จะรู้ว่าที่มาของชาติไทยนั้น ก็ไม่สามารถจำเจาะจงไปได้อย่างแท้จริงและไม่สามารถใช้ลักษณะหน้าตารูปร่างบ่งบอกได้เลยว่าคนไทยหน้าตาเป็นเอเชียแบบไหนได้แน่ชัดเพราะมีความหลากหลายทางเผ่าพันธ์ การจะกล่าวได้ว่าเป็นคนไทยหรือไม่ก็ต้องด้วยภาษาพูดและวัฒนธรรมการแสดงออกเท่านั้นจึงจะสามารถบอกได้ว่าบุคคลนี้เป็นคนไทย เพราะถ้าจะเอาภาษาเขียนก็ดูจะคล้ายกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีภาษาทีเก่ากว่าการสถาปณากรุงสุโขทัยเสียอีก อีกทั้งลักษณะการใช้ราชาศัพท์นั้นในประเทศไทยที่นิยมใช้กันในราชสำนักตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน นั้นมาจากภาษาอะไร ท่านก็ทราบกันดีอยู่ และศิลปะการดนตรีและนาฎศิลก็ดูจะลอกแบบจากนางอัปศราจากวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านมาใช้อย่างแนบเนียน การประดับประดาพระราชวังก็มีบางส่วนที่คล้ายกับประสาทขอมโบราณผสมวัฒนธรรมแบบพม่ามอญ และมีอะไรที่เป็นของไทยจริงๆบ้างล่ะ ที่เห็นชัดๆก็ภาษาพูดนั้นแหละ ถ้าท่านมีโอกาสลองเอาไปใช้แถวยูนาน(ต้าลี่)ก็จะรู้ว่าโคตรเดี่ยวกันหรือไม่ครับ.................................................................................ตาแป้น


หมายเหตุ


โดยจากระยะเวลาการเกิดขึ้นของกองทัพเจกิสข่านอันเกรียงไกลนี้อยู่ในปี พ.ศ.1750 และเมื่อเปรียบเทียบกับการเกิดของอาณาจักรนครวัด ปีพ.ศ. 1656 -1695 และการล่มสลายในคริสต์ศตวรรษที่ 13 อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1201 ถึง ค.ศ. 1300 หรือ พ.ศ. 1774 -1843


สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน มีพระชนมชีพอยู่ตรงกับประมาณ 1 ศตวรรษ ก่อนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุงสุโขทัย ปัจจุบัน พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการทหารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก


อาณาจักรโบราณดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เบื่อคำว่า"กว่า"


โอโหไอ้นี้นี่มันทำงานอะไรของมันรวยเอ้ารวยเอา พวกเราทำสวนแทบตายเหนื่อยกว่าแล้วยังจนกว่าไอ้หมอนี่อีกทำมาตั้งนานยังไม่มีอะไรเท่ามันเลย มันมีบ้านมีรถแล้ว เรายังเช่าที่สวนทำงานอยู่เลยเมื่อไรจะรวยกะเขาสะทีล่ะพี่ผมเบื่อเต็มทนแล้ว

ในสังคมมีผู้คนที่หลากหลายอาชีพ มีความคิดที่แตกต่างมากมาย ทั้งผู้มีความคิดว่าไม่มีใครที่จะเหนือข้านี้ไปได้ หรือ กลุ่มของข้าปัญญาชนสุด ความคิดของพวกข้าดีกว่า การตัดสินใจแบบพวกข้าได้ประโยชน์เหนือกว่า ข้านั้นเรียนมามากกว่าต้องมีความคิดที่ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าเป็นคนที่สูงกว่า ทำงานที่มีหน้ามีตามากกว่า พวก เรียนน้อยกว่า เงินน้อยกว่า ต้องมีความคิดต่ำกว่า ก็เพราะระดับความรู้และฐานะต่ำกว่า ท่านคิดแบบนี้หรือปล่าวครับ? ท่านว่าคนเป็นหมอนี้เก่่งไหม คำตอบว่า เก่งสิไม่เก่งจะได้เป็นหมอเหรอ ถ้าจะถามต่อไปว่า ท่านเคยเห็นคนที่เป็นหมอ ซ่อมรถยนต์ หรือ ซ่อมนาฬิกาเก่งๆซักคนไหม ? คำตอบก็คือจะบ้าเหรอ จะไปหาที่ไหนล่ะ คนเขาเป็นถึงขนาดหมอแล้ว จะมาซ่อมรถยนต์หรือ ซ่อมนาฬิกาทำบ้าอะไร คำตอบก็คือถูกครับ จะไปซ่อมหาสวรรค์วิมาณอะไรล่ะครับ เมื่อมีคนเขาเก่งในเรื่องซ่อมเขารับทำอยู่แล้ว แล้วมีคนถามต่ออีกว่าที่ท่านว่าเป็นหมอที่ว่าเก่งหน่ะมันก็ไม่ได้เก่งจริงอะดิ ถ้าเก่งจริงทำไมไม่ไปซ่อมรถยนต์เองล่ะ หรือซ่อมนาฬิกาเองก็ได้ ทำไม่ท่านต้องมาพึ่งคนซ่อมรถยนต์หรือ ช่างซ่อมนาฬิกาที่ไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำล่ะครับ ก็ไม่เชิ่งถูกครับ เพราะคนเราต่างคนก็ต่างมีดีครับ ต้นไม่ใหญ่อยู่สุขได้เพราะกอหญ้า ฉันใด มนุษย์ผู้คิดว่าตัวยิ่งใหญ่จำต้องอาศัยชาวรากหญ้าด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ก็อย่าทำอะไรในชั้นกว่าให้มากเกินไปนัก เพราะถ้าเลยกว่ามากๆ มันจะกลายเป็นระดับ และเลยระดับมันจะเป็นการเข้ายุกต์ก่อนพระพุทธศาสนา เลยจำต้องมีการแบ่งชั้นวรรณะกันเกิดขึ้น ถึงกับถอยหลังเข้าคลองกันตามระเบียบ ครับ แต่เอไม่แน่ประเทศไทยอาจจะอยู่ในยุคก่อนพุทธกาลอยู่แล้วก็เป็นได้ครับ เพราะดูๆกันแล้วประเทศเสรีประชาธิปไตยแห่งนี้ มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมค่อยๆจะห่างมากขึ้นทุกทีครับ ปัจจุบันที่เห็นๆก็มีอยู่ 3 วรรณะคือ จนดักดาน จน และ แกล้งจน จำพวกวรรณะหลังพวกนี้คือ คือพวกลักษณะนิสัยแบบไม่รู้จักคำว่าพอ หรือไม่พอดี เพราะว่าเป็นอาการแบบพวกหลงไหลไปกับคำว่ากว่า แบบหาที่สุดมิได้ เช่น สวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่า โดยมาเปรียบเทียบกับคำอีกคำคือคำว่า กู เลยเป็นคำอีกคำคือ รวยกว่ากู เก่งกว่ากู ยิ่งใหญ่กว่ากู เรื่องมันเลยไปกันใหญ่จนกลายเป็นการปัดแข้งปัดขากัน เห็นใครได้อะไรดีกว่าไม่ได้จำเป็นต้องเขามาป่วนหรือชาวบ้านเรียกว่า เสือก ทุกครั้ง
โดยการเปรียบเทียบขั้นกว่า More.........than นั้นซึ่งของบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะวัดกันได้ เช่น สวยกว่า ท่านเอาอะไรมาวัดกันครับ ตอบ คือ ตัวตนความคิดท่านคิดเองเออเองไงว่ามันเป็นอย่างที่ท่านว่า หรือคนเขาว่าใช่ไหมครับ ก็ไอ้คำว่ากว่าต้องมานั้งทุกข์ ไขวคว้าดิ้นรน ต่อสู่เพื่อไอ้คำคำเดี่ยวคือกว่า.....แต่ว่าคำว่ากว่าก็มีให้รู้สึกให้เสียใจสุดเสียดายอยู่บ้างก็คือ..........."กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว"
ปล...........................................................เอาไว้คิดเล่น..................................ตาแป้น

สังขาร มันคืออะไรแน่?


อนิจัง วัตสังขารา......... สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงนั้นมันไม่เที่ยงน๊ะโยม!

อะไรครับแม่! สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง (ลูกชายถามแม่ ขณะที่พระกำลังสวดพระอภิธรรม ศพของเด็กน้อยลูกสาวของคนข้างบ้านที่ตกน้ำตาย เมื่อสองวันก่อน โดยลูกชายถามแม่ด้วยความฉงนสงสัย ทำไม่ถึงไม่เที่ยงเพราะอะไร ) เออ ก็มันไม่เที่ยงอะสิ ถามได้ ก็พระท่านว่าไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงเองอย่างถามมากเลยว่ะไอ้เปี๊ยก นั่งฟังดีดีไม่ต้องถามมาก เดี๋ยวเป็นบาบ (เฮอ ถามเพราะยากรู้โดนซะแล้ว)

"อุปาธายะวะธรรมมิโน อุปปาชิตวานิรุชชันติ เตสังวูปปาสโมสุขโข" (ญาติโยมทอดผ้าบังสกุล) สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงเป็นธรรมดา การเข้าไปสงบระงับสังขารทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง (ไอ้เปี๊ยกนั้งนิ่งและไม่เข้าใจในคำสวดที่แปลออกมาแล้ว และไม่กล้าถามใครอีกต่อไป เพราะว่าถ้าถามอีกก็จะโดนตวาดอีก เลยเก็บความงง จน เป็นหนุ่มและ ออกบรรพชาเป็น พระภิกษุ จึงได้เห็นแจ้งในความจริงข้อหนึ่งว่า**)

**รูปธรรมที่เราๆท่านๆ สัมผัสด้วยความเคยชิน กันอยู่นี้ แท้แล้วสักว่า เป็นธาตุตามธรรมชาติมารวมกันเท่านั้นหาได้มีสาระ เกาะแก่นอันใดมีประโยชน์ไม่ รอวันที่จะกลับไปเป็นสภาพตามเดิมของเขาอยู่ตลอดเวลา สภาพความเป็น เขา เรา เธอ นางหวาน ตาเผือด ยายจัน ปู่เย็น ที่มีชื่อเหล่านี้ ล้วนเป็นธรรมชาติ ที่รอการดับไป เสื่อมสลายหายไปสิ้น แม้แต่ความทรงจำเมื่อนานวันก็จะมีการเลือนหายไปในที่สุด อาการความคิดเห็นเสียงหรือ คำพูดนิสัย ต่างๆเหล่านี้ ต่างก็ต้องเปลี่ยนไปเสื่อมไปเป็นธรรมดานั้นเอง อาการที่ทนไม่ได้คือการเกาะเกี่ยวหมายถึงการเกาะยึดว่าสังขารเหล่านี้เป็นสิ่งมีเจ้าของ โดยเราเป็นเจ้าของด้วยแล้ว ย่อมเกิดอาการวิตกจริต เมื่อ สังขารเหล่านั้น เปลี่ยนแปลงไป หรือ แตกดับไป เช่นแต่ก่อนผมดำขลับสนิทมาปัจจุบันกลับหงอกร่วงล้านไปตามกาลเวลา ถ่้าผู้นั้นยึดติดและไม่ได้มีสติรับรู้ถึงอาการของธรรมชาติเหล่านี้ ก็จะทุกข์ทรมาณต่อการจากไปเปลี่ยนไปของสิ่งที่ตนเข้าไปเป็นเจ้าของเหล่านั้นนั่นเอง
เราและท่านไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี สส. หรือ ชาวนา ขอทาน จงทราบด้วยว่าไม่มีใครที่จะหนีระบบธรรมชาติพ้น และก็ต้องไปอยู่ ณ เชิงตะกอนเผาผี หรือ จะเลือกเอาป่าช้าก็แล้วแต่ตามใจ ญาติ ท่านเถอะ เงินทองและทรัพย์สมบัติ ที่ได้รวบรวมกันมา นั้นท่านผู้ตายก็เหลือไว้ให้เมียหรือลูกไว้ใช้ หรือถ้าเมียมีสามีใหม่ก็เอาไว้ให้สามีใหม่ใช้ ด้วย ก็แค่นี้แหละ เพราะฉะนั้น ระลึกถึงข้อนี้มั่งจะทำให้ละความโลภของตัวเองไปได้พอควรเหมือนกัน เพราะพวกเราสัตว์ผู้มีปัญญาทั้งหลายก็มีความตายเท่าเทียมกับสัตว์ที่มีปัญญาทรามกว่านั่นเองไม่ได้นอกเหนือหรือว่าใหญ่กว่านี้เลย
ปล.สติคือดวงตา ปัญญาเป็นแสงสว่าง ทำให้เห็นทั้งทิศและทาง ทั้งสว่างและปลอดภัย
หวังดีจาก..................ตาแป้น


เรื่องเล่าจากปากตาแป้น




ธรรมดามนุษย์เราย่อมหาความเจริญใส่ตนเอง จึงได้ประเสริฐกว่าสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง ผมก็เป็นสัตว์โลกชนิดแบบนั้นที่ชอบหาความเจริญใส่ตัวเช่นกัน..........................


อรุณสวัสดิ์



สวัสดีครับ ผู้ที่เข้ามาอ่านบล็อคของการแสดงความเห็นของมนุษย์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนโลกแห่งความวุ่นวายอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นแห่งนี้ โดยเป็นโลกแห่ง กิเลสอย่างแท้จริง ที่ทุกคนไขว่คว้าหาความสุขแห่งชีวิตอย่างลืมความตาย อย่างไม่มีความเพี่ยงพอ ไม่มีอาการอิ่ม ซึ่งต่างจากสัตว์อื่นๆที่ยังมีอาการหยุดเมื่อมันรู้ว่ามันอิ่ม จึงทำให้ธรรมชาติเป็นไปตามปกติตามกาลเวลาของเขา แต่เมื่อมีมนุษย์ผู้ปราดเปรื่องเรืองปัญหา ความผันแปรแห่งโลกใบนี้ก็มีตามมา การค้นพบตัวแปรของธรรมชาติของมนุษย์นี้เท่ากับการค้นพบความเป็นตัวตนของตนในทางวัตถุอย่างแท้จริง ความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่มีอาการจบสิ้นของมนุษยสัตว์ ทำให้ต้องมีการศึกษาตามมาอีกมากมายเพื่อให้ต้องทันกับวิวัฒนาการความคิดในปัจจุบัน มิเช่นนั้น ท่านจำเป็นต้องตกยุกต์ แห่งการดิ้นรนแห่งนี้เป็นแน่ ท่านจำเป็นต้องทำการศึกษาให้รู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ของโลก ที่มีอาการเน้นการบริโภคเป็นหลักแห่งนี้ ศาสตร์ใหม่ๆที่่คนรุ่นเก่าไม่เคยได้ยินกำลังมีบทบาทมากยิ่งขึ้นในช่วงยุค (โลกาเทคนัคขรปฏิสัมพันธ)หรือเทคโนโลยีรวมกับอัคขระ (01,10)ในการติดต่อกันอย่างไม่มีระหว่างกีดกันของโลก( Chat ) จึงทำให้เกิดมิติการเรียนรู้ ลอกเรียนแบบ ความคิด ความเห็น ที่เปิดกว้าง หรือ อาจเป็นได้ว่า ในทางคนรุ่นเก่าเรียกว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ (ทิพยโสต, ทิพยจักษุ) ก็มีจริงเป็นจริงได้ในวันนี้ โดยอาศัย นิ้วทั้งสิบเป็นผลังในการติดต่อผ่านอาการทางกายทั้งมวล จากเจ้าของที่ต้องการให้ผู้อื่นรับรู้อาการแห่งตนนั้นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว การโฆษณาชวนเชื่อ แบบเก่าการปกปิดความลับแบบเก่าจะไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป การหาความรู้ความจริงแบบไซเบอร์นี้ รวดเร็ว เท่าทันใจที่ต้องการ ปราศจากการควบคุม ไร้รูปแบบ ยากแก่การกีดกั้นเพื่อไม่ให้รับรู้ ผู้ที่ติดความคิดแบบเก่า ก็จำต้องวิปราสปราศจาก กันไปตามธรรมดา ฉะนั้นถ้าเรายังคิดว่าเป็นธรรมดามนุษย์เราย่อมหาความเจริญใส่ตนเอง จึงได้ประเสริฐกว่าสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง กระผมก็เป็นสัตว์โลกชนิดแบบนั้นที่ชอบหาความเจริญใส่ตัวเช่นกัน และคงเหมือนกับท่านทั้งหลายที่ยังอ่านบทความนี้อยู่

โลกทีไม่มีความลับให้แก่กันและกันอีกแล้ว โลกแห่งจดหมายและสิ่งพิมพ์ที่เป็นกระดาษ และโรงพิมพ์กำลังพบกับ คู่แข่ง ที่ไม่สามารถต่อสู่ได้อีกต่อไปอีกแล้ว เพราะโลกแห่งไซเบอร์ กำลังเขามามีบทบาทในสังคมของมนุษย์แห่งโลกใบนี้มากยิ่งขึ้นทุกที ขณะที่เรากำลังดำเนินกิจกรรมแห่งชีวิต โลกไซเบอร์จะไม่มีอาการหลับไหล มีผู้คนเข้าใช้บริการมากมาย รับรู้และส่งต่อข่าวสารระหว่างกัน อย่างต่อเนื่อง เหมือนหรือยิ่งกว่าข่าวลือ ในโลกสมัยเก่าที่ใช้ทำลายกัน ด้วยปากต่อปาก การติดต่อของผู้คนในสถานที่ที่เป็นส่วนตัว ความคิดแบบเฉพาะตัว โลกส่วนตัว กลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์ ผู้ปฎิวัติทางความคิดกำลังก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว การประโคมข่าวโจมตีระหว่างกัน แบ่งแยกฝักฝ่าย กระทำได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพของโลกไร้พรมแดนแห่งนี้ การควบคุมที่กระทำได้ยากยิ่งมากขึ้นทุกที ระบบกฎหมายแบบเก่าที่กว่าที่จะตีความออกใช้ได้จริงๆ จนสามารถปฏิบัติการให้ได้ผล ไม่สามารถตามเท่าทันได้อีกต่อไป โลกต่อไปจากนี้จะเป็นโลกของความขัดแย้ง และแสดงออกได้อย่างเสรีไม่จำกัดการเวลา สามารถค้นหาได้โดยตลอด การกระทำการแบบเก่าไม่ว่าจะเป็นระบบการปลูกฝังค่านิยม การศึกษาจากชั้นเรียนตำราเรี่ยนแบบเรี่ยน ทีนิยมมุ่งเน้นความเป็นเอกภาพทางสังคม หรือ ระบบสังคมนิยมที่เน้นการปลูกฝังกำลังปิดฉากตัวเองไปทีละน้อย จนหมดไปในที่สุด การศึกษาการค้นขว้าแบบสารสนเทศไร้พรมแดน เข้ามาแทนที่ นี่ไม่ใช้เรื่องนวนิยายวิทยาศาสตร์ แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆในสังคมปัจจุบัน การรับกับสถานการณ์อย่างที่ว่ามาแล้วนี้มันขึ้นอยู่ที่คุณเตรียมความพร้อมกับสิ้่งเหล่านี้แล้วหรือยัง มันอาจเป็นเรื่องเก่าสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่มันจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนรุ่นแม่

เราจะต้องทำอย่างไรดีเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีความสุขที่สุด ในสถานะความคิดอันน้อยนิดของมนุษย์ผู้ที่่ยังมีกิเลสอยู่ในสันดาน คงกล่าวได้ว่าแค่ แนะนำ เพราะจะมาบอกให้ท่านทั้งหลายเชื่อนั้นก็คงไม่สมควร เพราะโลกแห่งเสรีภาพนี้ ท่านสามารถหาความจริงในเรื่องต่างๆได้โดยใช้แค่ปลายนิ้วสัมผัสเท่าน้้น คือแค่คำง่ายๆที่จะแนะนำท่านทั้งหลายก็คือคำว่า เปิดใจ เท่านั้นเอง ถ้าท่านไม่เปิดใจรับรู้สิ่งต่างๆความคิดเห็นที่ต่างจากระบบที่คุณได้รับการปลูกฝังมา ท่านย่อมไม่สามารถ จะทนกับสิ่งเหล่านี้ได้เลย อาจจะเป็นโรคประสาทไปเลยก็ว่าได้ ในสถานการณ์ที่มีความแตกแยกในปัจจุบัน ท่านจะต้อง ตั้งสติ ในการพิจารณาเสพข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้ เพื่อให้รู้เท่าทันเกมส์ของฝ่ายต่างๆที่นิยมเอาระบบสารสนเทศมาใช้ในโลกที่ไร้พรมแดนแห่งนี้ ท่านต้องมีสติให้มากอย่างหลงติดกลายเป็นเครื่องมือของบุคคลที่ที่สร้างระบบความคิดที่มากด้วยโวหาร โดยบางครั้งอาจปราศจากความจริงไปเลยก็อาจเป็นได้

ท้ายนี้หวังว่าทุกท่าน จะมีความสุข ในการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างเท่าทัน ไม่ใช่ถูกครอบงำโดยเทคโนโลยี ....................................................................................................................ตาแป้น......