วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2552

เมือง Aracaju และ Macieo ของ Brasil



ชายหาดเมือง Aracaju






ในช่วง วันที่ ๑๐ - ๑๔ เม.ย. ๕๒ ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาส ได้ไปพักผ่อนแถบเมือง ชายทะเล ประมาณ ๔ วัน โดยได้ออกเดินทาง ในวันที่ ๑๐ เม.ย.๕๒ ซึ่งเอารถยนต์ ของ สน.ผชท.ทหารฯ ยี่ห้อ Fait Palio ไปจอดที่ สน.ฯ โดยท่าน หน.ผชท. ฯ กรุณาไปส่งให้ที่สนามบิน เมือง Brasília การเดินทางในครั้งนี้ได้มีผู้เดินทางร่วมกัน จำนวน ๕ คน คือ ผม และ สุภรักษ์ ภรรยา ,ยุพิณ ,Mr. Eduardu Nicrolas Silva กับ คุณแม่ โดยเครื่อง เทคออฟ ประมาณ ๑๑๕๐ น. เดินทางประมาณ ๒ ชม. โดยถึง ท่าอากาศยานเมือง Arcaju เวลา ๑๓๕๐ พอลงเครื่อง จะพบทันที่ก็คืออากาศที่ร้อนอบอ้าว ประมาณ ๓๕ องศาเซลเซียสเรา เดินทางต่อ โดยทาง Mr.Eduardu ไปติดต่อขอเช่ารถยนต์ โดยรถยนต์ที่เช่า ตกลงเป็นเงิน ประมาณ ๕๐๐ เฮอัลบราซิล แต่ต้องจ่ายเงินประกันไว้ก่อน เป็น๑,๐๐๐ เฮอัล และเริ่ม เดินทางและหาที่พัก โดยมีคนที่ทำงานอยู่เมืองBrasília แต่กลับมาพักผ่อนที่เมืองนี้หรือบ้านพ่อแม่เขา ช่วยบอกทางที่จะไปโรงแรม ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าทาง อินเตอร์เน็ตไว้แล้ว วันนี้เขาพักที่ ร.ร. IBIS เป็นโรงแรมขนาด ๔ ดาวของบราซิล แต่ถ้ามาเทียบบ้านเราคงแค่ ประมาณ สองดาวเท่านั้น ตอนบ่าย ได้มีโอกาส ไปชมชายทะเล ที่หาด Atalaia สามารถดูได้จากลิงค์นี้ครับ

Exibir mapa ampliado
โดยเป็นชายหาดที่สวยงาม ครับ เดินไปเดินมา เฮีย ดูดู่ ของเราก็ทำกุญแจ รถยนต์ หายครับ วนหากันประมาณ ชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ครับ โชคยังดีไม่มีใครเก็บไป เราเดินต่อไป จนหิว น้ำและอาหารล่ะครับ จนถึงรานอาหาร แบบกึ่งๆ บาร์เหล้า ก็เลยสั่งน้ำและ อาหารทะเลมารับประทานกัน ดูรายละเอียดจากภาพได้ครับว่ามีอะไรบ้าง พอทานอาหารที่นี่เรียบร้อยพวกเราก็เตรียม กลับโรงแรม แต่ตกลงกันว่าจะมาทานอาหารเย็น ที่นี่ต่อครับ ดูๆแล้ว ที่นี่เขาก็จัดร้านอาหาร ที่อยู่ริมทาง เป็นสัดส่วนดี และมีการทำถนน คนเดิน พร้อมไฟ สป็อตไลท์ ส่องสว่างอย่างทั่วถึงดีพอสมควร ครับ ประมาณ ๑๙๐๐ เราได้เดินทางไปทานอาหารกันอีกครั้งร้านนี้จะมีปูทะเล รูปร่างคล้ายปูอาลาสก้าแต่ตัวจะเล็กกว่าและไม่มีหนามครับ เขาเรียกว่าปู caranguejo โดยร้านอาหารร้านนี้ชื่อว่าร้าน Rei da caranguejo หรือราชาปู มีคนมาทานอาหารที่นี่มากครับ ผมลองทานปูแกะแล้วและปรุงโดยการนึ่ง รสชาติความสดของปู ก็ใช่ได้ครับหายอยากไปเลยครับ แต่สองสาว รักษ์กับ ยุพิณ เขาต้องการแบบ แกะเองก็ได้รสชาติไปอีกแบบ ครับโดยทางร้านเขาก็ยกมาเป็นหม้อเลยครับ คล้ายหม้อดินบ้านเราครับ มีปูอยู่สองตัว ก็ให้ความรู้สึกไปอีกแบบครับ ผมลองให้ ดูดู่ถามทางร้านว่ามีการเต้น Foro ไหม เขาบอกว่ามีแต่ต้อง สี่ทุ่มไปแล้วครับ ซึ่งทางพวกเราไม่อยากรอ ต้องการพักผ่อนกันวัน ที่๑๐ เม.ย.๕๒ นี้โดยกลับไป ร.ร. ที่พักก่อนเพราะพรุ่งนี้ช้าวประมาณ ๗.๐๐ น.จำต้องเดินทางโดยรถยนต์ต่อไปครับ




๑๑ เม.ย.๕๒ เวลา ๐๗๓๐ เราทำการเช็ดเอ๊าท์ กับทางโรงแรม IBIS สนนด้วยราคา ห้องคู่คืนละ ๙๙ เฮอัลบราซิล หรือ ประมาณ ๑,๕๐๐ บาทไทยครับ เราได้เดินทางออกไปตากเมือง Aracaju หรือ อาจแปลไปได้ว่าเมือง แห่งต้น Caju หรือมะม่วงหิมมะพานต์ เราเดินทางไปทางทิศ ตะวันออก ตามเสินทาง BR101 ประมาณ ๓๕๐ กม.ครับ ระหว่างทางก็พบบ้านเรือน และหมู่บ้านตามรายทาง โดยอยู่กันแบบ กลุ่มๆ แถมยังมี บ้านดินแบบ อโดบี อีก ซึ่งบ้านดินเหล่านี้เป็นแบบลักษณะคนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และทำการประท้วงรัฐบาล เพื่อให้สิทธิในที่ดินดังกล่าว ที่ดินกว้างใหญ่ของบราซิลนี้ยังมีลักษณะการครอบครองจากคนชั้นนายทุนเงินหนา กว้านซื้อที่ดิน เป็น เอเคอร์ๆ หรือ ถ้ามองไม่ออก ผมอยากจะอธิบายว่าเป็นเจ้าของ หุบเขาทั้งลูกได้เลย กว้างมาก การทำเกษตรกรรมส่่วนใหญ่จะใช้พื้นที่เหล่านี้เลี้ยงโคเนื้อ และทำไร่ ถั่วบ้าง เท่าที่สังเกตุ พื้นที่แถวภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ของบราซิลนี้ ค่อนข้างแห้งแล้ง จะมีปัญหาเรื่องน้ำในหน้าแร้งอย่างมาก โดยชาวบ้านจำเป็นต้องเลี้ยงโค ไว้เป็นอาหารในยามหน้าแร้งไม่มีน้ำ ก็จะฆ่าโคเหล่านี้ประทังชีวิตแทน จากที่ได้สอบถาม Mr.Eduardu นั้น ก็เห็นว่าน่าจะจริง เพราะเท่าที่นั้งรถผ่านมา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สูง สลับเนินเขา จะมีลำธารบ้างก็ไม่สามารถเก็บน้ำได้มากเท่าที่ควร พอนั้งรถไปถึงเขตใกล้พื้นที่ชายฝั่งทะเล จะพบกับไร่อ้อยที่ปลูกกันมาก อาจกล่าวได้ว่าถ้าได้หลงเข้าไปในไร่อ้อยเหล่านี้คงนานกว่าจะออกมาได้ เพราะทำกันยาวไปทั้งสองข้างทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีทรัพยากรเพียงพอ สำหรับการผลิต เอทานอน อยู่โดยไม่ต้องพึงพาจากประเทศอื่นเลย แต่ทำไม่น้ำมันและ เชื้อเพลิงเอทานอน มันขายกันแพง เหมือนกันเราได้ ? มาถึง ที่เมือง Maceio ในเวลาประมาณ ๑๕๐๐ น.จะเห็นได้ จากการผ่านเมือง ซึ่งเป็นท่าเรือ และโกดังเก็บสินค้า ของโปรตุเกส เก่า ทำให้นึกถึง ความคับคั่ง




และ ความเจริญ ในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี คือเห็นภาพ ความรุ่งเรื่อง ของท่าเรือนี้ได้จาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ แม้ปัจจุบัน มันจะดูโทรมๆ ไปบ้างก็ตาม แต่ต่อไปอาจเป็นจุดขาย ได้อีกจุดหนึ่งก็ได้ เพราะร้านค้าและโกดังที่หลงเหลือ ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าได้รับการพัฒนาและใส่ชีวิตให้ใหม่ก็สามารถสร้างจุดขายที่น่าสนใจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรูปแบบ สถาปัตย์กรรมการก่อสร้าง นั้นมีความเป็นยุโรปอยู่สูงมากนั้นเอง เราได้เข้าพักที่โรงแรม ชื่อเดิม ตามเจ้าบ้านเขาวางแผนการท่องเที่ยวให้ ก็ลองดูว่าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น


วันนี้เราได้ไปทานอาหาร ที่ร้านแห่งหนึ่งริมชายหาด ได้สั่งปลาอบใส่เครื่องเทศและ ผักดองบราซิล และ กุ้งระเบิด ซีส ซึ่งฝ่ายไทยไม่ค่อยสันทัดนัก แต่อาหารก็ถือว่าอร่อยใช่ได้ หรือ หิวมาก ก็ไม่ทราบได้


ร่องเรือใบ ใส่ Snorkel ดูปลาน้ำตื้น Mr.Eduard กับ ยุพิน

วันที่๑๒ เม.ย.๕๒ วันนี้นัดกัน ร่องเรือใบ ชมปะการัง ณ เกาะตรงหน้าโรงแรม นัดกัน ๑๑.๐๐ น. เราก็ตื่นแต่ช้าวช่วนกันไปถ่ายรูป ตึกเก่าๆในเมือง กลับมา ประมาณ๐๙๐๐ น. ดูดู่ ก็โทรมาบอกได้ว่าได้ติดต่อเรือใบได้แล้ว ราคาคนละ ๒๐ เฮอัล และ มีอาหาร ทะเลรองรับที่เกาะด้วย เราก็ไปกัน ๔ คน ส่วนแม่ นายดูดู่ไม่ชอบทะเลลึก เพราะแก่บอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น พอไปถึง ต้องเช่าหน้ากาก อีก ๕ เฮอัล เพื่อชมปะการัง พอลงไปดูแล้ว มีแต่โขดหิน สู่เมืองไทย ไม่ได้เลย ในเรื่องธุรกิจการท่องเทียว หรือ ทรัพยากรทางทะเล ก็ตาม ยังห่างชั้นประเทศไทยอยู่ว่างั้น พอไปถึง ตรงที่พักเรือ และจุดจอดเรือ เราได้สั่งอาหารเป็นปลา ย่างและกุ้งทะเล ลอฟเตอร์ มาทานกัน ก็นับว่าอร่อย และ สดใช้ได้ เสร็จ แล้วเราก็นั้งเรือกลับมาด้วยรอยยิ้ม เพราะบรรยากาศ ค่อยข้างดี แต่ก็ร้อนจนผิวไหมกันไปเลย

วันที่ ๑๓ เม.ย.๕๒ เราได้ออกไปเที่ยว แถวนอกๆ เมือง Maceio และเข้าไปเที่ยวตามชายหายที่สวยงาม สามารถ ดูภาพได้จาก คลิป ข้างล้างนี้ครับ เป็นบริเวณ Frence Beach ครับชายหาดสวยงาม หาดทรายขาวละเอียดดี บนหาดมีบริการน้ำมะพร้าวสด จากต้นไว้บริการนักท่องเที่ยว ครับ สนนราคา ๒ เฮอัล หรือ สามสิบกว่าบาท ครับ และก็หลังจากน้ันก็แวะเที่ยวชมบรรยากาศชายทะเลแถบนี้และรับประทานอาหารกลางวัน และถึงบ่ายจึงกลับมาที่โรงแรม ครับ
วันที่ ๑๔ เตรียมเดินทางกลับเมือง Aracaju เราเตรียมพร้อมแต่เช้าตรู่ ๐๗๓๐ ทานอาหารเช้าเช็คเอาท์และเดินทางกลับโดยรถยนต์เช่า ถึงเมือง Aracaju ประมาณเที่ยง และไปแวะชมห้างสรรพสินค้าละแวกนั้นก่อน ได้ทานอาหารกลางวันในนั้น มีร้านอาหารจีน รสชาติใช้ได้ และหลังจากนั้นผมถือโอกาสไปชมภาพยนต์ เสียเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนววิทยาศาสตร์ กล่าวถึง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้รับสารจากมนุษย์โลกอื่น เกี่ยวการวิบัติของโลก ที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ คือ พระอาทิตย์ที่มีอาการ แผ่รักษี แกรมม่า ผิดปกติ จนทำให้โลกไหม้เป็นจุล แต่เรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันมนุษย์ต่างดาวในแง่ของพระเจ้าผู้พิทักษ์มวลสัตว์โลก จากโลกนี้สู่โลกหน้า เหมือนกับได้ส่ง อาดัม และอีวา ที่ไปสร้างสังคม มนุษย์ในที่ใหม่โดยการช่วยเหลือจากผู้พิทักษ์ต่างดาว พระเอกของเรื่อง คือ นิโคลาสเคส ตามความคิดผมก็ถือว่าหนังสือความหมายได้ที่ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ดำเนินเรื่องไปเชื่อมโยงกันหลักทางศาสนาเป็นตัวสรุป พอจบการชมภาพยนต์โดยผมมาดูกับนายดูดู้ และ แม่ของเขาด้วย พากันพูดคุยถึงเรื่องหนัง ว่าแท้จริง มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเป็นพระเจ้าใช่ไหม
พอเวลา ๑๔๐๐ เราทั้งหมดก็ไปคืนรถ โดยจ่ายค่ารถเช่า จ่ายไป ๖๐๐เฮฮัล หรือประมาณ หมื่นพันกว่าบาทรวมค่าประกันด้วย ตีไปคนละ ๑๓๐ เฮอัล เวลา ๑๖๐๐ และก็กลับ โดยสายการบินเดิมเครื่องเดิม แถมที่นั้งยังที่เดิมอีกด้วย ถึง บราซิเลีย ราวๆ ๑๘๐๐ น. จบเวลาการท่องเที่ยวชาดหาด ของบราซิล เมื่อ ท้าวแตะพื้นสนามบินเมืองบราซิเลีย ครับ



Exibir mapa ampliado">