วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555

ประวัติการรบของ จ่า รอย เบนาวิเดซ หน่วย SOG

Iณ ที่ลานจอด เฮลิคอปเตอร์ . มีเครื่อง เฮลิคอปเตอร์พยาบาล ."Medevac",สำหรับขนส่งทหารบาดเจ็บซึ่งกำลังลงจอดอยู่นั้น ทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการตรวจสอบที่ละคนๆ โดยหนึ่งในนั้นคือจ่า เบนาวิเดซ คนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สำหร้บตัวของจ่าเองนั้นได้รับบาดเจ็บมากกว่า 37แผล และมีบาดแผลลำไส้ทะลักอีกด้วย ซึ่งตัวจ่าเองไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากนัก เพราะว่าเกล็ดเลือดเกาะบริเวณตาของจ่า จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ หรือแม้ที่จะพูดออกมาด้วย เพราะบริเวณกรามก็หักเช่นกัน เนื่องจากโดนเหวี่ยงจากปืนไรเฟิลของเวียดนามเหนือ แต่ทั้งนี้จ่าก็รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวของชีวิตมากกว่ากิจกรรมทางสังคมก่อนหน้านี้ของจ่า  จ่าเบน ได้ทิ้งร่างกายลงในสมรภูมิที่อาบด้วยเลือดของจ่าเอง เจอร์รี่ ค็อตตี้แฮมเพื่อนของจ่าได้กรีดร้องอุทานออกมาว่า "นั่น เบนาวิเดชหรือนี่ รีบไปตามหมอมาเร็วๆ " เมื่อแพทย์มาถึงก็ได้วางมือไปบนหน้าอกของจ่าเพื่อตรวจดูการเต้นของหัวใจ "เขาตายแล้วครับ"  แพทย์ที่ตรวจอาการส่ายหัว "ไม่มีอะไรสามารถทำเพื่อเขาอีกแล้วล่ะ ". ในขณะที่เป็นแพทย์กำลังหยิบถุงเก็บศพนั้น เบนาเวิเดชคิดที่จะแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ โดยเขาถ่มน้ำลายในใบหน้าของแพทย์ แพทย์ประหลาดใจกลับสถานะของ รอย เบนาวิเดชมาก จากสถานะของคนตายนั้น โดยมีใครบางคนร้องขึ้นว่า"หากเขาจะไม่ทำมัน แต่ว่าเราจะลองทำดู" ลูกผู้ชายวัย 32 ปีจากเท็กซัส วีกรรมของเขาที่ได้กระทำการนั้นใช้เวลาหกชั่วโมงที่ โดดเด่นที่สุดของสงครามเวียดนาม เบนาวิเดช เป็นชาว ยากีอินเดียน และเป็นส่วนหนึ่งเม็กซิกัน เขาถูกพักเรียนตอนประถมศึกษาระดับ7 และเป็นเด็กกำพร้า ที่เติบโตขึ้นมาด้วยคำล้อเลียนว่า "ไอ้โง่เม็กซิกัน". โดยที่ ประธานาธิบดี โรแนลด์ เรย์แกน ได้แนะว่า ถ้าเรื่องราวของสิ่งที่เขาทำสำเร็จนั้น ได้ถูกทำให้เป็นภาพยนตร์ คงไม่มีใครอยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
โดยเริ่มต้นที่ รอย เบนาวิเดช ได้ถูกพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายที่ Loc Ninh ซึ่งเป็นฐาน ปฎิบัติการของ หน่วยกรีน ไบเร็ต ที่อยู่ใกล้ชายแดนกัมพูชา ซึ่งขณะนั้นมันเป็น เวลา 01:30, ของวันที่ 2 พฤษภาคม 1968 ในขณะที่อนุศาสนาจารย์ได้บริกรรมและทำการอธิษฐานรอบ ๆ รถจี๊ปสำหรับจ่าทหารและคนอื่น ๆ อีกหลายคน ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนอกจากแถวบริเวณใกล้เคียงจากวิทยุคลื่นสั้น "พวกเราออกจากที่นี่!ได้แล้ว" ใครบางคนกรีดร้อง "โอ้พระเจ้านำเราออกไปด้วย!"
หน่วยทหารขนาดเล็กจำนวน 12 นายประกอบไปด้วยสิบเอก เลอรอย ไวทต์, จ่า ลอยด์ "เฟรนเชีย" เมองซิเออ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โฟร์ ไบรอันโอคอนเนอร์และ ทหารท้องถิ่นอีก 9 นาย ตรวจสอบทำการเกาะติดตามข้าศึกอยู่ในป่า และได้พบว่าตัวเองถูกล้อมรอบด้วยกองพันทหารเวียดนามเหนือ โดยขณะนั้น บก.ใหญ่ยังไม่ได้มีการสั่งการอันใด แต่สำหรับ เบนาวิเดช ได้อาสาตัวเองเพื่อภารกิจนี้ในทันที โดยที่ไม่ได้นำ M-16 ไปด้วยระหว่างขึ้นเฮลิคอปเตอร์ Medevac เพื่อเตรียมการสำหรับความช่วยเหลือ อาวุธเพียงอย่างเดียวที่เขามีคือ มีดโบวี่ที่คาดบนเข็มขัด "ผมจะไปกับคุณด้วย", เขาบอกกับลูกเรือทั้งสามคนที่นั่น พลร่มเหล่านั้น, พวกเขาตั้งแนวรับเป็นรูปวงกลมอัดแน่น โดยมีข้าศึกเกือบร้อย ล้อมพวกเขาอยู่ในป่า ประมาณระยะ 25 หลาจากตำแหน่งของพวกอเมริกัน ฮ.ตัวลดลงต่ำลงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อรอรับการล่าถอย มีจุดเล็กๆที่เห็นประมาณ 75 หล่าออกไป เบนาวิเดช บอกนักบิน "ไปที่นั่นตรงนั้น."
เฮลิคอปเตอร์ไปถึงที่นั่นและ ลอยตัวอยู่ 10 ฟุตจากพื้นดิน เบนาวิเดช ทำเครื่องหมายกางเขนถือถุงแพทย์สนาม กระโดดออกและวิ่งไปในระยะ 75 หลามุ่งหน้าไปทางพวกที่ติดวงล้อมเหล่านั้น เกือบในทันที เบนาดิเวชก็ ถูกยิงด้วย AK-47 กระสุนถูกขาขวาของเขา และสะดุดและล้มลง, เขาคิดว่ามันเป็นเพียงหนามพุ่มไม้แทงเท่านั้น และวิ่งไปที่พุ่มไม้ตรงที่ คนของไวทต์ตอนนี้นอนรออยู่ และก็มีระเบิดมือถูกเควียงมา เศษระเบิดได้ฉีกใบหน้าของเขาเป็นรอยลึก เขาตะโกนคำอธิษฐาน " โอ้พระเจ้าช่วย" และลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมเดินเซไปยังพวกของเขา มีทหารเสียชีวิต 4 นาย และได้รับบาดเจ็บ 8 นาย และแบ่งออกเป็น2กลุ่ม เบนาวิเดชได้ทำการปฐมพยาบาลเบื่องต้นด้วยพันผ้าพันแผล และฉีดมอร์ฟีน โดยไม่สนใจกระสุนและระเบิด ของเวียตนามเหนือที่ถาโถมรอบตัวเขา ในขณะที่ห่ากระสุน AK ที่ผ่านไปรอบๆนั้นเบนาวิเดชกำกับการชี้ทางการโจมตีทางอากาศ และเรียกให้เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ลงจอดไปที่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆนั้น ขณะที่เขากำลังขอสนันสนุนในการยิงทางอากาศ อีกครั้งที่เขาโดนยิงที่ต้นขาขวาเป็นบาดแผลที่ได้รับอีกครั้งที่2 จากนั้นเขาลากคนตายและบาดเจ็บขึ้นเครื่อง ฮ.ยกตัวไม่กี่ฟุตจากพื้นดินและย้ายไปที่กลุ่ม2 เบนาวิเดช วิ่งตามฮ.ไป และยิงปืนไรเฟิล ที่ พบและหยิบขึ้นมา เขาพบร่างของหัวหน้าทีมคือ จ่า ไรท์ เขายังได้สั่งการให้คนอื่น ๆ ให้คลานไปยังฮ.ให้ได้ และดึงกระเป๋าออกเก็บรวบรวมด๊อกแท็ก จากคอของคนตาย โดยในกระเป๋านั้นมีเอกสารจัดกับรหัสสัญญาณวิทยุและนามเรียกขาน เขาได้ซุกกระดาษลงในเสื้อ และในระหว่างนั้นมีกระสุนวิ่งมาที่ท้องของเขา พร้อมทั้งระเบิดมือกลิ้งตกลงมาจากนั้นมันก็ระเบิดขึ้นบริเวณด้านหลังของเขา ทันใดนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ที่ทำการช่่วยเหลือก็ล่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เพราะนักบินถูกยิงตายระหว่างการฮอบช่วยทหารราบบาดเจ็บ จากสถานการณ์หมอกไอที่กลั่นเป็นเลือดเหล่านี้ เบนาวิเดช ได้มุ่งหน้าไปยัง ฮ.ที่ตก และได้ดึงผู้บาดเจ็บออกมาจากซากปรักหักพังจากช่องขนาดเล็ก ได้ผ่านคมกระสุนของความตาย ขณะที่กองกำลังสนับสนุนทางอากาศที่เขาวิทยุมาก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว เครื่องบินเจ็ตส์และเฮลิคอปเตอร์โจมตีกระหน่ำและสังหารทหารศัตรูโดยที่ เบนิวิเดช พยายามถามผู้บาดเจ็บว่า "คุณเจ็บมากไหม จ่า?" หนึ่งทหารได้กล่าว ขึ้นว่า ห่านรก เลือดจะออกหมดตัวอยู่แล้ว บนาวิเดชบอกว่า ฉันโดนยิงมาเยอะแยะแล้วเหมือนกันฉันคงให้เลือดไม่ได้หรอก ในขณะที่ปลอกลูกปืนกราดเกลือนทุกที่ เบนาวิเดชได้วิทยุเรียกเครื่องบินแฟนทอมทิ้งระเบิดในระยะ "ที่ใกล้และอันตรายเกินไป" ศัตรูถูกกวาดเป็นบริเวณกว้าง ผู้บาดเจ็บหลายคนถูกสะเก็ตระเบิดอีกครั้งรวมทั้ง เบนาวิเดชด้วย ซึ่งเขาได้มีเลือดพุ่งกระฉูด ออกเต็มใบหน้า ทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขายังเรียกวิทยุโจมตีทางอากาศ โดยทำการการปรับเป้าหมายโดยใช้เสียง หลายครั้งนักบินคิดว่าเขาตาย แต่แล้วเสียงก็กลับมาในการเรียกวิทยุอีกครั้ง กับการโจมตีระยะใกล้ ตลอดการต่อสู้, เบนาวิเดชมีความศรัทต่อธาคาทอลิก เขาได้ทำเครื่องหมายกาเขนหลายครั้ง โดยที่แขนเขาคงไม่สามารถขยับอะไรได้อีกแล้ว แต่ความกลัวไม่อยู่ในสมองของเขาเลย ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ลงจอด "ภาวนาและย้ายออกจากนี้ได้แล้ว" เบนาวิเดช บอกลูกน้องว่าและช่วยทุกคนขึ้นเครื่อง และแบกร่างที่บาดเจ็บสาหัสของ เฟรนเชีย มองซิเออร์ ไว้บนบ่า ทหารเวียตนามเหนือที่บาดเจ็บได้ยืนขึ้นเหวี่ยงปืนไรเฟิลและตี เบนาวิเดช ที่หัว และเขาได้ล้มลง ขณะนั้นข้าศึกได้ใช้ดาบปลายปืนแทงไปเขาทันที เบนาวิเดชจับปืนข้าศึกด้วยมือขวาแล้ว ใช้มือซ้ายหยิบมีดโบวีแทงไปที่ทหารเวียตนามเหนือ แต่เขาก็โดนมันแทงไปที่ต้นแขนขวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นได้ดำเนินการลาก มองซิเออร์ ไปยัง ฮ.รับผู้บาดเจ็บต่อไป ระหว่างนั้นเขาได้เห็นทหารเวียตนามเหนือ สองนาย ในพุ่มป่า และเขาก็ได้หยิบปืน AK ที่ข้าศึกทำตกหล่นอยู่บริเวณนั้น และทำการยิงไปที่ทหารข้าศึกทั้งคู่ เบนาวิเดช ยังได้ออกตรวจอีกหนึ่งรอบและกลับมาพร้อมกับล่ามชาวเวียตนาม ถึงตอนนี้จ่าได้ให้พวกที่เหลือดึงเขาขึ้นฮ. ในทันที
เลือดได้หยดออกจากประตู ฮ. โปรยปรายไปในอากาศ เบนาวิเดช ใช้มือประคองลำไส้ของเขา เลือดไหลออกมาก จนเกือบหมดสติ, เบนาวิเดช ถูกว่างทับไว้กับผู้บาดเจ็บสาหัสและ ได้จับมือ มองซิเออร์ไว้ เพียงก่อนที่พวกเขาลงจอดที่โรงพยาบาลทหาร "ฉันรู้สึกว่านิ้วของเขาอยู่ในผ่ามือของฉัน" เบนาวิเดช ถูกฟื้นคืนชีพ แขนของเขากระตุกและกระโดดราวกับกระแสไฟฟ้าได้ผ่านร่างกายและได้ปลดปล่อยเข้าไปในห้วใจเขา  ณ Loc Ninh, เบนาวิเดช ถูกนำไว้อยู่กับคนตาย แม้หลังจากพ้นน้ำลายไปยังใบหน้าของแพทย์ จนได้ถูกนำออกจากถุงศพซึ่ง เบนาวิเดชถูกพิจารณาว่าได้ตายไปแล้วนั้น   เบนาวิเดชใช้เวลาเกือบปีพักฟื้นในโรงพยาบาลจากอาการบาดเจ็บ โดยมี  7 แผลที่เป็นแผลใหญ่จากกระสุน 28 แผล เป็นรูจากของมีคม และแขนทั้งสองข้างเป็นแผลจากด้วยดาบปลายปืน และเขายัง มีเศษกระสุนฝังอยู่ในศีรษะ รอยแผลเป็นที่ไหล่, ก้น และ เท้า ปอดด้านขวาของเขาถูกทำลาย  มีบาดเจ็บที่ปากและด้านหลังของหัวจากการถูกเควี้ยง และตีด้วยปืน กระสุนไรเฟิล AK-47 หนึ่งตับได้ทะลุหลังเฉียด้านล่างของหัวใจ ทั้งหมดนี้เขาได้รับรางวัลการต่อสู้และการมีชีวิตอยู่ เพื่อบอกถึงการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดและโดดเด่นที่สุดพิเศษ ซึ่ง จ่าเบนาวิเดช กลับตอบว่า "ไม่ใช่หรอกผมแค่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น."
เบนาวิเดช ได้รับเหรียญ เชิดชูเกียรติ สูงสุด Medal of Honor จากนายพล วิเลียม ซี เวสซ์มอร์แลนด์ หลังจากที่ได้รับการรักษาตัวที่ โรงพยาบาลทหาร ใน ฟอร์ต แซม ฮูสตั้น และได้รับเหรียญตราอีกครั้ง จากประธานาธิบดีเรแกน
จ่า รอย เบนาวิเดช ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ในวันที 29 พฤศจิกายน 1998 ขณะเขามีอายุได้ 63 ปี ณ ศูยน์การแพทย์ทหาร บรูคก์ โดยป่วยเป็นโรค เบาหวาน และ ระบบหายใจล้มเหลว ร่างของเขาถูกฝัง ณ St. Robert Bellarmine's Catholic Church,
รูปหล่อที่ระลึกของจ่า รอย เบนาวิเดช ได้ทำขึ้นเพื่อระลึกถึงความกล้าและเสียสละ อันยากที่ใครจะเสมอเหมือน ขอสดุดีวีรกรรมของจ่ายรอย ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง Terapong