tag:blogger.com,1999:blog-37521935145439327262024-02-18T18:35:58.055-08:00แลกเปลี่ยนความคิดเพราะการคิดอะไรที่ต่างไป จึงทำให้เราได้มีวันนี้teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.comBlogger27125tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-65462886830243749152012-04-21T07:59:00.003-07:002015-09-28T06:29:44.828-07:00ประวัติการรบของ จ่า รอย เบนาวิเดซ หน่วย SOG<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0jU047Xe8SzKLfoG2VvRnw6e5HA27YgQLUndiaILZU9iay9GP4bDycD1_9qcksdwgj3XrxEKHcECd6xy2lXEwJVVGeFzrkbX_LfM2CDS-QTUjydc22NKuNJx9E4IKkaEM3L7FOpXLhNE/s1600/benavidez2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0jU047Xe8SzKLfoG2VvRnw6e5HA27YgQLUndiaILZU9iay9GP4bDycD1_9qcksdwgj3XrxEKHcECd6xy2lXEwJVVGeFzrkbX_LfM2CDS-QTUjydc22NKuNJx9E4IKkaEM3L7FOpXLhNE/s320/benavidez2.jpg" width="274" /></a></div>
Iณ ที่ลานจอด เฮลิคอปเตอร์ . มีเครื่อง เฮลิคอปเตอร์พยาบาล ."Medevac",สำหรับขนส่งทหารบาดเจ็บซึ่งกำลังลงจอดอยู่นั้น ทหารที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการตรวจสอบที่ละคนๆ โดยหนึ่งในนั้นคือจ่า เบนาวิเดซ คนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สำหร้บตัวของจ่าเองนั้นได้รับบาดเจ็บมากกว่า 37แผล และมีบาดแผลลำไส้ทะลักอีกด้วย ซึ่งตัวจ่าเองไม่สามารถมองเห็นอะไรได้มากนัก เพราะว่าเกล็ดเลือดเกาะบริเวณตาของจ่า จนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ หรือแม้ที่จะพูดออกมาด้วย เพราะบริเวณกรามก็หักเช่นกัน เนื่องจากโดนเหวี่ยงจากปืนไรเฟิลของเวียดนามเหนือ แต่ทั้งนี้จ่าก็รู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวของชีวิตมากกว่ากิจกรรมทางสังคมก่อนหน้านี้ของจ่า จ่าเบน ได้ทิ้งร่างกายลงในสมรภูมิที่อาบด้วยเลือดของจ่าเอง เจอร์รี่ ค็อตตี้แฮมเพื่อนของจ่าได้กรีดร้องอุทานออกมาว่า "นั่น เบนาวิเดชหรือนี่ รีบไปตามหมอมาเร็วๆ " เมื่อแพทย์มาถึงก็ได้วางมือไปบนหน้าอกของจ่าเพื่อตรวจดูการเต้นของหัวใจ "เขาตายแล้วครับ" แพทย์ที่ตรวจอาการส่ายหัว "ไม่มีอะไรสามารถทำเพื่อเขาอีกแล้วล่ะ ". ในขณะที่เป็นแพทย์กำลังหยิบถุงเก็บศพนั้น เบนาเวิเดชคิดที่จะแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ โดยเขาถ่มน้ำลายในใบหน้าของแพทย์ แพทย์ประหลาดใจกลับสถานะของ รอย เบนาวิเดชมาก จากสถานะของคนตายนั้น โดยมีใครบางคนร้องขึ้นว่า"หากเขาจะไม่ทำมัน แต่ว่าเราจะลองทำดู"
ลูกผู้ชายวัย 32 ปีจากเท็กซัส วีกรรมของเขาที่ได้กระทำการนั้นใช้เวลาหกชั่วโมงที่ โดดเด่นที่สุดของสงครามเวียดนาม เบนาวิเดช เป็นชาว ยากีอินเดียน และเป็นส่วนหนึ่งเม็กซิกัน เขาถูกพักเรียนตอนประถมศึกษาระดับ7 และเป็นเด็กกำพร้า ที่เติบโตขึ้นมาด้วยคำล้อเลียนว่า "ไอ้โง่เม็กซิกัน". โดยที่ ประธานาธิบดี โรแนลด์ เรย์แกน ได้แนะว่า ถ้าเรื่องราวของสิ่งที่เขาทำสำเร็จนั้น ได้ถูกทำให้เป็นภาพยนตร์ คงไม่มีใครอยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7SJN4UHLFR1bxK__hy1m5HStLR93oluZhmJkXzbZaFYGL7GIuj1VaGT-p-3OLhLAcIH61G0euhSlFHPhNHsGo1R4VIzW5-sXW1-yvy0xVmPzr62kmL27E3oZ0UScgIW7gU7CcDtwp38A/s1600/1223201082535am.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="215" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg7SJN4UHLFR1bxK__hy1m5HStLR93oluZhmJkXzbZaFYGL7GIuj1VaGT-p-3OLhLAcIH61G0euhSlFHPhNHsGo1R4VIzW5-sXW1-yvy0xVmPzr62kmL27E3oZ0UScgIW7gU7CcDtwp38A/s320/1223201082535am.jpg" width="320" /></a></div>
โดยเริ่มต้นที่ รอย เบนาวิเดช ได้ถูกพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายที่ Loc Ninh ซึ่งเป็นฐาน ปฎิบัติการของ หน่วยกรีน ไบเร็ต ที่อยู่ใกล้ชายแดนกัมพูชา ซึ่งขณะนั้นมันเป็น เวลา 01:30, ของวันที่ 2 พฤษภาคม 1968 ในขณะที่อนุศาสนาจารย์ได้บริกรรมและทำการอธิษฐานรอบ ๆ รถจี๊ปสำหรับจ่าทหารและคนอื่น ๆ อีกหลายคน ทันใดนั้นมีเสียงตะโกนอกจากแถวบริเวณใกล้เคียงจากวิทยุคลื่นสั้น "พวกเราออกจากที่นี่!ได้แล้ว" ใครบางคนกรีดร้อง "โอ้พระเจ้านำเราออกไปด้วย!"
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7YqGQiwnIy7gvCmLyww1JoaSI-FVX_SYW78pjmZlfOOwqSvw0eSxlras2pQTtuX4qoxffwQStrPzT2imLe0OC0CEPljkDeSqU0u39KWrmIrhqJENidvYpSXOpNon7qBd32fNsSj7Miwg/s1600/Benavidez+%25281%2529.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="270" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7YqGQiwnIy7gvCmLyww1JoaSI-FVX_SYW78pjmZlfOOwqSvw0eSxlras2pQTtuX4qoxffwQStrPzT2imLe0OC0CEPljkDeSqU0u39KWrmIrhqJENidvYpSXOpNon7qBd32fNsSj7Miwg/s320/Benavidez+%25281%2529.jpg" width="320" /></a></div>
หน่วยทหารขนาดเล็กจำนวน 12 นายประกอบไปด้วยสิบเอก เลอรอย ไวทต์, จ่า ลอยด์ "เฟรนเชีย" เมองซิเออ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ โฟร์ ไบรอันโอคอนเนอร์และ ทหารท้องถิ่นอีก 9 นาย ตรวจสอบทำการเกาะติดตามข้าศึกอยู่ในป่า และได้พบว่าตัวเองถูกล้อมรอบด้วยกองพันทหารเวียดนามเหนือ โดยขณะนั้น บก.ใหญ่ยังไม่ได้มีการสั่งการอันใด แต่สำหรับ เบนาวิเดช ได้อาสาตัวเองเพื่อภารกิจนี้ในทันที โดยที่ไม่ได้นำ M-16 ไปด้วยระหว่างขึ้นเฮลิคอปเตอร์ Medevac เพื่อเตรียมการสำหรับความช่วยเหลือ อาวุธเพียงอย่างเดียวที่เขามีคือ มีดโบวี่ที่คาดบนเข็มขัด "ผมจะไปกับคุณด้วย", เขาบอกกับลูกเรือทั้งสามคนที่นั่น
พลร่มเหล่านั้น, พวกเขาตั้งแนวรับเป็นรูปวงกลมอัดแน่น โดยมีข้าศึกเกือบร้อย ล้อมพวกเขาอยู่ในป่า ประมาณระยะ 25 หลาจากตำแหน่งของพวกอเมริกัน ฮ.ตัวลดลงต่ำลงวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อรอรับการล่าถอย มีจุดเล็กๆที่เห็นประมาณ 75 หล่าออกไป เบนาวิเดช บอกนักบิน "ไปที่นั่นตรงนั้น."
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgB58SZhWTqIJFT8FhAmLFe-1oEpoR_Im9sb_UTcVte9LAVxH63X6dKEVGEyfMYVobdWMFIOSzl6IljANzSgsiAh7NN-t3ZKheiT4IccaAAYfHYvzwvEPpV6ArAfHf2BQdLCJEz_r5X_XI/s1600/6h319.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgB58SZhWTqIJFT8FhAmLFe-1oEpoR_Im9sb_UTcVte9LAVxH63X6dKEVGEyfMYVobdWMFIOSzl6IljANzSgsiAh7NN-t3ZKheiT4IccaAAYfHYvzwvEPpV6ArAfHf2BQdLCJEz_r5X_XI/s320/6h319.jpg" width="269" /></a></div>
เฮลิคอปเตอร์ไปถึงที่นั่นและ ลอยตัวอยู่ 10 ฟุตจากพื้นดิน เบนาวิเดช ทำเครื่องหมายกางเขนถือถุงแพทย์สนาม กระโดดออกและวิ่งไปในระยะ 75 หลามุ่งหน้าไปทางพวกที่ติดวงล้อมเหล่านั้น เกือบในทันที เบนาดิเวชก็ ถูกยิงด้วย AK-47 กระสุนถูกขาขวาของเขา และสะดุดและล้มลง, เขาคิดว่ามันเป็นเพียงหนามพุ่มไม้แทงเท่านั้น และวิ่งไปที่พุ่มไม้ตรงที่ คนของไวทต์ตอนนี้นอนรออยู่ และก็มีระเบิดมือถูกเควียงมา เศษระเบิดได้ฉีกใบหน้าของเขาเป็นรอยลึก เขาตะโกนคำอธิษฐาน " โอ้พระเจ้าช่วย" และลุกขึ้นอีกครั้ง พร้อมเดินเซไปยังพวกของเขา มีทหารเสียชีวิต 4 นาย และได้รับบาดเจ็บ 8 นาย และแบ่งออกเป็น2กลุ่ม เบนาวิเดชได้ทำการปฐมพยาบาลเบื่องต้นด้วยพันผ้าพันแผล และฉีดมอร์ฟีน โดยไม่สนใจกระสุนและระเบิด ของเวียตนามเหนือที่ถาโถมรอบตัวเขา ในขณะที่ห่ากระสุน AK ที่ผ่านไปรอบๆนั้นเบนาวิเดชกำกับการชี้ทางการโจมตีทางอากาศ และเรียกให้เฮลิคอปเตอร์ฮิวอี้ลงจอดไปที่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆนั้น ขณะที่เขากำลังขอสนันสนุนในการยิงทางอากาศ อีกครั้งที่เขาโดนยิงที่ต้นขาขวาเป็นบาดแผลที่ได้รับอีกครั้งที่2 จากนั้นเขาลากคนตายและบาดเจ็บขึ้นเครื่อง ฮ.ยกตัวไม่กี่ฟุตจากพื้นดินและย้ายไปที่กลุ่ม2 เบนาวิเดช วิ่งตามฮ.ไป และยิงปืนไรเฟิล ที่ พบและหยิบขึ้นมา เขาพบร่างของหัวหน้าทีมคือ จ่า ไรท์ เขายังได้สั่งการให้คนอื่น ๆ ให้คลานไปยังฮ.ให้ได้ และดึงกระเป๋าออกเก็บรวบรวมด๊อกแท็ก จากคอของคนตาย โดยในกระเป๋านั้นมีเอกสารจัดกับรหัสสัญญาณวิทยุและนามเรียกขาน เขาได้ซุกกระดาษลงในเสื้อ และในระหว่างนั้นมีกระสุนวิ่งมาที่ท้องของเขา พร้อมทั้งระเบิดมือกลิ้งตกลงมาจากนั้นมันก็ระเบิดขึ้นบริเวณด้านหลังของเขา ทันใดนั้นเองเฮลิคอปเตอร์ที่ทำการช่่วยเหลือก็ล่วงลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่น เพราะนักบินถูกยิงตายระหว่างการฮอบช่วยทหารราบบาดเจ็บ จากสถานการณ์หมอกไอที่กลั่นเป็นเลือดเหล่านี้ เบนาวิเดช ได้มุ่งหน้าไปยัง ฮ.ที่ตก และได้ดึงผู้บาดเจ็บออกมาจากซากปรักหักพังจากช่องขนาดเล็ก ได้ผ่านคมกระสุนของความตาย ขณะที่กองกำลังสนับสนุนทางอากาศที่เขาวิทยุมาก่อนหน้านี้มาถึงแล้ว เครื่องบินเจ็ตส์และเฮลิคอปเตอร์โจมตีกระหน่ำและสังหารทหารศัตรูโดยที่ เบนิวิเดช พยายามถามผู้บาดเจ็บว่า "คุณเจ็บมากไหม จ่า?" หนึ่งทหารได้กล่าว ขึ้นว่า ห่านรก เลือดจะออกหมดตัวอยู่แล้ว บนาวิเดชบอกว่า ฉันโดนยิงมาเยอะแยะแล้วเหมือนกันฉันคงให้เลือดไม่ได้หรอก ในขณะที่ปลอกลูกปืนกราดเกลือนทุกที่ เบนาวิเดชได้วิทยุเรียกเครื่องบินแฟนทอมทิ้งระเบิดในระยะ "ที่ใกล้และอันตรายเกินไป" ศัตรูถูกกวาดเป็นบริเวณกว้าง ผู้บาดเจ็บหลายคนถูกสะเก็ตระเบิดอีกครั้งรวมทั้ง เบนาวิเดชด้วย ซึ่งเขาได้มีเลือดพุ่งกระฉูด
ออกเต็มใบหน้า ทำให้มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เขายังเรียกวิทยุโจมตีทางอากาศ โดยทำการการปรับเป้าหมายโดยใช้เสียง หลายครั้งนักบินคิดว่าเขาตาย แต่แล้วเสียงก็กลับมาในการเรียกวิทยุอีกครั้ง กับการโจมตีระยะใกล้ ตลอดการต่อสู้, เบนาวิเดชมีความศรัทต่อธาคาทอลิก เขาได้ทำเครื่องหมายกาเขนหลายครั้ง โดยที่แขนเขาคงไม่สามารถขยับอะไรได้อีกแล้ว แต่ความกลัวไม่อยู่ในสมองของเขาเลย ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ลงจอด "ภาวนาและย้ายออกจากนี้ได้แล้ว" เบนาวิเดช บอกลูกน้องว่าและช่วยทุกคนขึ้นเครื่อง และแบกร่างที่บาดเจ็บสาหัสของ เฟรนเชีย มองซิเออร์ ไว้บนบ่า ทหารเวียตนามเหนือที่บาดเจ็บได้ยืนขึ้นเหวี่ยงปืนไรเฟิลและตี เบนาวิเดช ที่หัว และเขาได้ล้มลง ขณะนั้นข้าศึกได้ใช้ดาบปลายปืนแทงไปเขาทันที เบนาวิเดชจับปืนข้าศึกด้วยมือขวาแล้ว ใช้มือซ้ายหยิบมีดโบวีแทงไปที่ทหารเวียตนามเหนือ แต่เขาก็โดนมันแทงไปที่ต้นแขนขวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นได้ดำเนินการลาก มองซิเออร์ ไปยัง ฮ.รับผู้บาดเจ็บต่อไป ระหว่างนั้นเขาได้เห็นทหารเวียตนามเหนือ สองนาย ในพุ่มป่า และเขาก็ได้หยิบปืน AK ที่ข้าศึกทำตกหล่นอยู่บริเวณนั้น และทำการยิงไปที่ทหารข้าศึกทั้งคู่ เบนาวิเดช ยังได้ออกตรวจอีกหนึ่งรอบและกลับมาพร้อมกับล่ามชาวเวียตนาม ถึงตอนนี้จ่าได้ให้พวกที่เหลือดึงเขาขึ้นฮ. ในทันที
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZAGMdnafoaidbBPQP51mvqHU46153_Wbi7lcjRiCINtl19ttRv1sg9kqDMdqb609-9LlELzpSoDLgBWkp5fFFjNHUBHh2uolWInfwjnPvXv3cS59jmVEzhdQuQpy20dvDjnET_-YhazQ/s1600/718201054302pm.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="210" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZAGMdnafoaidbBPQP51mvqHU46153_Wbi7lcjRiCINtl19ttRv1sg9kqDMdqb609-9LlELzpSoDLgBWkp5fFFjNHUBHh2uolWInfwjnPvXv3cS59jmVEzhdQuQpy20dvDjnET_-YhazQ/s320/718201054302pm.jpg" width="320" /></a></div>
เลือดได้หยดออกจากประตู ฮ. โปรยปรายไปในอากาศ เบนาวิเดช ใช้มือประคองลำไส้ของเขา เลือดไหลออกมาก จนเกือบหมดสติ, เบนาวิเดช ถูกว่างทับไว้กับผู้บาดเจ็บสาหัสและ ได้จับมือ มองซิเออร์ไว้ เพียงก่อนที่พวกเขาลงจอดที่โรงพยาบาลทหาร "ฉันรู้สึกว่านิ้วของเขาอยู่ในผ่ามือของฉัน" เบนาวิเดช ถูกฟื้นคืนชีพ แขนของเขากระตุกและกระโดดราวกับกระแสไฟฟ้าได้ผ่านร่างกายและได้ปลดปล่อยเข้าไปในห้วใจเขา ณ Loc Ninh, เบนาวิเดช ถูกนำไว้อยู่กับคนตาย แม้หลังจากพ้นน้ำลายไปยังใบหน้าของแพทย์ จนได้ถูกนำออกจากถุงศพซึ่ง เบนาวิเดชถูกพิจารณาว่าได้ตายไปแล้วนั้น เบนาวิเดชใช้เวลาเกือบปีพักฟื้นในโรงพยาบาลจากอาการบาดเจ็บ โดยมี 7 แผลที่เป็นแผลใหญ่จากกระสุน 28 แผล เป็นรูจากของมีคม และแขนทั้งสองข้างเป็นแผลจากด้วยดาบปลายปืน และเขายัง มีเศษกระสุนฝังอยู่ในศีรษะ รอยแผลเป็นที่ไหล่, ก้น และ เท้า ปอดด้านขวาของเขาถูกทำลาย มีบาดเจ็บที่ปากและด้านหลังของหัวจากการถูกเควี้ยง และตีด้วยปืน กระสุนไรเฟิล AK-47 หนึ่งตับได้ทะลุหลังเฉียด้านล่างของหัวใจ ทั้งหมดนี้เขาได้รับรางวัลการต่อสู้และการมีชีวิตอยู่ เพื่อบอกถึงการต่อสู้ที่เยี่ยมยอดและโดดเด่นที่สุดพิเศษ ซึ่ง จ่าเบนาวิเดช กลับตอบว่า "ไม่ใช่หรอกผมแค่ปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น."
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5wgCs_bwDZmEP4t9XmHKdDdYqsXMnQQS2SkntDsfGMet4J_Fha8mA26IPNV54axy1eargiPX-j-ZgwyQYVKSKRr1Aak6ZUgc5_CKoZCBRWRx7DXir6WK1fpZDdzdR7BNJSti40DrFDyo/s1600/RoyandReagan.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="260" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj5wgCs_bwDZmEP4t9XmHKdDdYqsXMnQQS2SkntDsfGMet4J_Fha8mA26IPNV54axy1eargiPX-j-ZgwyQYVKSKRr1Aak6ZUgc5_CKoZCBRWRx7DXir6WK1fpZDdzdR7BNJSti40DrFDyo/s320/RoyandReagan.jpg" width="278" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2HzMASv43MYiQKezDbNhWKhy9LBsdM53mbAwLXgEiyRhnAwjxb4138fjiHoK8mkXXosKcOAP8WLS771XQ3hGiCpPHGk9BoD-43lrRSxVmqWEUih7D7SCKsvRZPXRSNDng3Jg86Z0SaNY/s1600/roy3.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="307" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh2HzMASv43MYiQKezDbNhWKhy9LBsdM53mbAwLXgEiyRhnAwjxb4138fjiHoK8mkXXosKcOAP8WLS771XQ3hGiCpPHGk9BoD-43lrRSxVmqWEUih7D7SCKsvRZPXRSNDng3Jg86Z0SaNY/s320/roy3.jpg" width="320" /></a></div>
เบนาวิเดช ได้รับเหรียญ เชิดชูเกียรติ สูงสุด Medal of Honor จากนายพล วิเลียม ซี เวสซ์มอร์แลนด์ หลังจากที่ได้รับการรักษาตัวที่ โรงพยาบาลทหาร ใน ฟอร์ต แซม ฮูสตั้น และได้รับเหรียญตราอีกครั้ง จากประธานาธิบดีเรแกน
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKpqAuPp5pNc-5Awkn2gaqK7iPmPgIUBPHVQ33Fli23EDWjl0zmi_4jHwRa8TRA49seAAl3k-yWWvLlSNXCjKQvJFGVqQVcibZF82_uQbQafin0Kg4UXpmNsr5ehm9QAvhUCZk-hPA8k0/s1600/grave1_benavidez-vi.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKpqAuPp5pNc-5Awkn2gaqK7iPmPgIUBPHVQ33Fli23EDWjl0zmi_4jHwRa8TRA49seAAl3k-yWWvLlSNXCjKQvJFGVqQVcibZF82_uQbQafin0Kg4UXpmNsr5ehm9QAvhUCZk-hPA8k0/s320/grave1_benavidez-vi.jpg" width="214" /></a></div>
จ่า รอย เบนาวิเดช ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ในวันที 29 พฤศจิกายน 1998 ขณะเขามีอายุได้ 63 ปี ณ ศูยน์การแพทย์ทหาร บรูคก์ โดยป่วยเป็นโรค เบาหวาน และ ระบบหายใจล้มเหลว ร่างของเขาถูกฝัง ณ St. Robert Bellarmine's Catholic Church,
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV6HG8uMqVB6_6obiNCNew29KKQ6F5EOs-aRmKh-Y71sTXq-4KmzQVcXKLOo1wKJewA3cK8JyGSMoCXbVneJFFFRaiIqfo1St3J4hgCumu_ypasZyR1QhN2zaHVD91a0rifYZZgA_iZUg/s1600/MSgtRPBLQ600.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjV6HG8uMqVB6_6obiNCNew29KKQ6F5EOs-aRmKh-Y71sTXq-4KmzQVcXKLOo1wKJewA3cK8JyGSMoCXbVneJFFFRaiIqfo1St3J4hgCumu_ypasZyR1QhN2zaHVD91a0rifYZZgA_iZUg/s320/MSgtRPBLQ600.jpg" width="229" /></a></div>
รูปหล่อที่ระลึกของจ่า รอย เบนาวิเดช ได้ทำขึ้นเพื่อระลึกถึงความกล้าและเสียสละ อันยากที่ใครจะเสมอเหมือน ขอสดุดีวีรกรรมของจ่ายรอย ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
Terapongteraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-64533246440336984412010-12-22T05:28:00.000-08:002010-12-22T05:28:02.822-08:00Earthquakes<a href="http://earthquake.usgs.gov/earthquakes/?sms_ss=blogger&at_xt=4d11fca250800eb7%2C0">Earthquakes</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-52911702392846117462010-08-08T12:18:00.000-07:002013-01-26T18:47:50.618-08:00French Foreign Legion (La Legionnaires)<a href="http://1.bp.blogspot.com/_19gUmelWk8s/TGLYelv2W1I/AAAAAAAAAJ8/TfcZSR8Nm7I/s1600/cardcode.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504199714640649042" src="http://1.bp.blogspot.com/_19gUmelWk8s/TGLYelv2W1I/AAAAAAAAAJ8/TfcZSR8Nm7I/s200/cardcode.jpg" style="cursor: pointer; display: block; height: 162px; margin: 0px auto 10px; text-align: center; width: 200px;" /></a>
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb0lDxYLb15cdeAiGc0BQyXdju10iU44lN91_07i5Knc6iiQueNKvKVll1mak2qXHT-ZLcBEVBFkrFbyaVn-TAUpTyyTnpqVim_5u_ioU1mOi6HGSrPhxtlKNapZeA58Tk0aIQjITOrXs/s1600/Legion2.2.bmp"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504199483377317618" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb0lDxYLb15cdeAiGc0BQyXdju10iU44lN91_07i5Knc6iiQueNKvKVll1mak2qXHT-ZLcBEVBFkrFbyaVn-TAUpTyyTnpqVim_5u_ioU1mOi6HGSrPhxtlKNapZeA58Tk0aIQjITOrXs/s200/Legion2.2.bmp" style="cursor: pointer; float: right; height: 200px; margin: 0px 0px 10px 10px; width: 142px;" /></a>
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZtOZuPlHzDz50-clIJSW_7-d-881YI4JG1L9Z2v8oszAf6n6CSL6di_hRy5VSGBitPiro9hJuLEs4Viwwnglf6pjreCrlDut2ovFCjgrASptEJgjZBYjj6nGqUwdBc6_FMDaJ_gtcI4I/s1600/Legion1.bmp"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504199347263103490" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZtOZuPlHzDz50-clIJSW_7-d-881YI4JG1L9Z2v8oszAf6n6CSL6di_hRy5VSGBitPiro9hJuLEs4Viwwnglf6pjreCrlDut2ovFCjgrASptEJgjZBYjj6nGqUwdBc6_FMDaJ_gtcI4I/s200/Legion1.bmp" style="cursor: pointer; float: left; height: 200px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 142px;" /></a>
<br />
กองทหารต่างด้าวของฝรั่งเศส Legion Etrangere ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดย พระเจ้า หลุยส์ ฟิลลิปป์ กษัตริย์ของฝรั่งเศส ในวันที่ ๑๐ มีนาคม ค.ศ.๑๘๓๑ โดยหลักเหตุผลสำคัญโดยตรงข้อแรกก็คือ คนต่างชาติไม่สามารถที่จะรับใช้กองทัพบกฝรั่งเศสหลังจากการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อ เดือน กรกฎาคม ปี ค.ศ.๑๘๓๐ ได้ ดังนั้นกองทหารต่างด้าวจะถูกก่อตั้งขึ้นและได้รับการอนุมัติ จากรัฐบาลโดยทางอ้อมจากข้อกำหนดที่ได้ตราขึ้นแล้วเท่านั้น จุดประสงค์อย่างที่สองก็คือ ความต้องการจัดตั้งหน่วยทหารในการที่จะหลีกหนีความวุ่นวายยุ่งเหยิงจากองค์ประกอบทางสังคมสมัยนั้น โดยจะต้องมีทหารไปทำการต่อสู่กับข้าศึกของฝรั่งเศส การรับทหารเข้าประจำการนั้นรวมถึงพวกที่ทำปฏิวัติล้มเหลวจากพวกที่อยู่ประเทศยุโรป จากทหารต่างชาติที่ถูกปลด เชลยศึก และคนทั่วไปที่มีปัญหาในการประกอบอาชีพ ทั้งคนต่างชาติและคนฝรั่งเศส จุดมุ่งหมายปลายทางก็คือประเทศแอลจีเรีย สำหรับ ลีเจียนแนร์แล้วได้ถือว่าเป็นบ้านหลังแรกของพวกเขา
<br />
<br />
ในช่วงปลาย ค.ศ.๑๘๓๑ หน่วยทหารต่างด้าว (ลีเจียนแนร์) ได้ปฎิบัติการใน แอลจิเรีย หรือ ในประเทศที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และได้เคยเป็นบ้านของเหล่าทหารต่างด้าวทั้งรูปแบบและ สัญลักษณ์ เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า ๑๓๐ ปีมาแล้ว แต่ช่วงการปฎิบัติการในครั้งแรกที่แอลจีเรียนี่เป็นงานที่สุดหิน เพราะพวกเขาถูกส่งไปท่ามกลางสถานการณ์ที่หายนะโดยแท้ พวกเขาได้รับภารกิจที่เสี่ยงตายกับประเทศที่เป็นเมืองขึ้นแบบเสียไม่ได้ หรือแทบจะไม่เป็นที่สนใจนักสำหรับปารีส แต่ทว่าพวกเขา(Leginnaires) ก็ปฎิบัติหน้าที่รับใช้ผรั่งเศสที่แอลจีเรียนตั้งแต่ต้นจนจบภารกิจเป็นระยะเวลาถึง สี่ปี และหลังจากประเทศนี้แล้ว ก็เป็นที่อื่นอีกนับไม่ถ้วน
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUwTrQ7TX784qutfxqOBBzfBebLM5RUiNGkfSIyY0r1Ha3bgR-Ws5DUscVh5UxaQB9yewC9g02E38B8whc1EQVaxxwjn8SxYn77xaDWgbpdyVZxa9kIbkbWQo24hPXt67OqoTuOBuQgH0/s1600/6054S.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504200222355095634" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUwTrQ7TX784qutfxqOBBzfBebLM5RUiNGkfSIyY0r1Ha3bgR-Ws5DUscVh5UxaQB9yewC9g02E38B8whc1EQVaxxwjn8SxYn77xaDWgbpdyVZxa9kIbkbWQo24hPXt67OqoTuOBuQgH0/s200/6054S.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 140px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
<br />
หน่วยทหารต่างด้าวหรือเรียกทับศัพท์ว่า ลีเจียนแนร์ นี้ แรกเริ่มเดิมที่ พวกเขาถูกใช้ให้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ ณ ประเทศอาณานิคมจักรวรรดิฝรั่งเศสในช่วง ศตวรรษที่๑๙ แต่พวกเขาก็ได้ร่วมต่อสู้เกือบทั้งหมดของสงครามที่มีรับใช้ฝรั่งเศส รวมถึงสงคราม ฝรั่งเศส -ปรัสเซียน และ สงครามโลกทั้งสองครั้ง ลีเจียนแนร์ ยังคงมีประจำการ ในส่วนที่สำคัญของกองทัพบกฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ในสามส่วนของ สาธารณรัฐฝรั่งเศส และยังในจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง มีทั้งยุคเฟื่องฟูและถดถอยซึ่งก็ขึ้นอยู่กับกับการเกณฑ์เข้าสู่กองทัพของฝรั่งเศส จนถึงการสูญเสียบ้านของพวกเขาจากการประกาศอิสระภาพจากประเทศอาณานิคมฝรั่งเศสของ แอลจีเรีย
<br />
<br />
สงครามครั้งแรก ที่สเปน (First Carlist War) http://en.wikipedia.org/wiki/Carlism
<br />
ด้วยการสนับสนุน ให้กับ Isabella ให้กลับสู่บัลลังค์กษัตริย์อีกครั้ง ด้วยการรบพุ่งกับ ลุงของเธอเอง รัฐบาลฝรั่งเศส ตัดสินใจที่ส่งทหาร ลีเจียนแนร์ไปยังสเปน ในวันที่ 28 มิ.ย.1835 โดยหน่วยทหารให้ขึ้นอยู่กับการบังคับบัญชาของรัฐบาลสเปน ทหารลีเจียนแนร์ เดินทางถึง Tarragona (เมืองท่าที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบราเซโลน่า) ในวันที่ 17 ส.ค. ด้วยกำลังพล 4,000 คนซึ่งเป็นปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นสองเท่าของที่เคยถูกส่งไป แอลจีลีนอส ในแอลจีเรีย เนื่องจากการปฏิบัติการที่ผ่านมา
<br />
เมือง Taragona
<br />
<iframe frameborder="0" height="350" marginheight="0" marginwidth="0" scrolling="no" src="http://maps.google.com.br/maps?q=Tarragona&ie=UTF8&hq=&hnear=Tarragona,+Catalonia,+Spain&gl=br&ei=T45hTL7GJcKLuAeSqpH-CA&ved=0CB8Q8gEwAA&ll=41.118663,1.24533&spn=2.398112,5.795288&t=h&z=8&output=embed" width="425"></iframe><br />
<small><a href="http://maps.google.com.br/maps?q=Tarragona&ie=UTF8&hq=&hnear=Tarragona,+Catalonia,+Spain&gl=br&ei=T45hTL7GJcKLuAeSqpH-CA&ved=0CB8Q8gEwAA&ll=41.118663,1.24533&spn=2.398112,5.795288&t=h&z=8&source=embed" style="color: blue; text-align: left;">View Larger Map</a></small>
<br />
นายทหารของลีเจียนแนร์ ได้ทำการแก้ปัญหาภายในกองทัพได้อย่างทันท่วงที สำหรับการปกครองและการบังคับบัญชาอีกทั้งกำลังใจในการสู้รบของหน่วย ต่อมา เขาได้ก่อตั้งหมวดทหาร lancers (หน่วยทหารม้าใช้แหลนเป็นอาวุธ)
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5PFwKzTQPXxp-WSwkZiM3c7EirfwRba0zOGfhyW6Gj7fPHnAurCW_GKgl2AJ9QmhPxbDjS-VE5bRq8e9HBsGiHNPcRRi1fCDd86JA0UCpMeyOulsXYkVIKbeHDHXLTXp2gIK3EJK-tEk/s1600/lancers.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5503843023780214594" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh5PFwKzTQPXxp-WSwkZiM3c7EirfwRba0zOGfhyW6Gj7fPHnAurCW_GKgl2AJ9QmhPxbDjS-VE5bRq8e9HBsGiHNPcRRi1fCDd86JA0UCpMeyOulsXYkVIKbeHDHXLTXp2gIK3EJK-tEk/s200/lancers.jpg" style="cursor: pointer; float: right; height: 156px; margin: 0px 0px 10px 10px; width: 200px;" /></a>
<br />
อีกสามหมวด และกองพันปืนใหญ่ จากกองทหารที่มีอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและมีเอกภาพในการรบมากยิ่งขึ้น หน่วยลีเจียนแนร์ได้ถูกปรับปรุง ในวันที่ 8 ธ.ค. 1838 ในขณะที่มีกำลังพลคงเหลือเพียงแค่ 800 นาย ในส่วนที่ยังคงรอดตายได้กลับฝรั่งเศส บางครั้งพวกเขาอาจได้เข้าร่วมรบกับ หน่วยลีเจียนแนร์ ใหม่ ที่ประกอบไปด้วยกำลังพลที่เป็นเชลยศึกซึ่งพวกเขาได้เคยต่อสู่กันมาก็ตาม ลิงค์หน่วยทหาร lancers ของฝรั่งเศส http://www.napoleon-series.org/military/organization/c_lancers.html
<br />
<br />
สงครามที่ Mexico(Battle of Camarón) มือปลอมทำด้วยไม้ของร้อยเอกแดนโจ
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwB_POfagTZkGfYi8Q1QJbNWCPkrNfbHgk54hTR-UKwzT0fP-HSfHQhT6f_fhEPzJL1X8qNtfwAAa-P7BUMN0TA2MHXFRJIjncanuNikqdBVcjmvtadZiwUzTxq7cwRASW1GSZV3WVARQ/s1600/Main_Danjou.gif"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5503858089441322418" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwB_POfagTZkGfYi8Q1QJbNWCPkrNfbHgk54hTR-UKwzT0fP-HSfHQhT6f_fhEPzJL1X8qNtfwAAa-P7BUMN0TA2MHXFRJIjncanuNikqdBVcjmvtadZiwUzTxq7cwRASW1GSZV3WVARQ/s200/Main_Danjou.gif" style="cursor: pointer; float: left; height: 150px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
ร้อยเอก แดนโจ ผู้ที่มีมือปลอมทำด้วยไม้ เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ วันที่ 30 เม.ย.1863 นั้นเป็นการรวบรวมเรื่องราวของเหล่าผู้กล้าของลีเจียนแนร์ ณ กองร้อยที่ 1 ที่นำโดยร้อยเอก แดนโจ (Capt.Danjou)ซึ่งมีจำนวน ทหารในบังคับบัญชา 62 นาย และนายทหาร 3 นาย ได้รับให้ปฏิบัติภารกิจคุ้มกันขบวนสัมภาระไปยังเมือง Puela ที่ถูกปิดล้อมโดยทหารอาสาของข้าศึกชาวแม็กซิกันจำนวนถึงสองพันนาย โดยได้แบ่งการจัดกำลังเป็น สามกองพันทหารราบ และ ทหารม้า ซึ่งมีจำนวน 1,200 และ 800 นายตามลำดับ หน่วยลาดตระเวนได้ทำการตั้งรับ ณ Hacienda Camarón แม้ว่าจะมีความหวังอันน้อยนิดที่จะชนะศึกก็ตาม แต่พวกเขาเหล่าลีเจียนแนร์ก็ต่อสู้ยืนหยัดจนเกือบคนสุดท้าย ตอนที่พวกเขาเหลือกำลังพลทั้งหมด 6 นาย และขาดกระสุนต่อสู้ พวกเขาได้ทำการติดดาบปลายปืนเข้าปะทะกับข้าศึกสามในหกได้ถูกปลิดชีวิต ที่เหลือสามนายได้รับการปล่อยตัวให้กลับฝรั่งเศส และเป็นผู้ได้รับเกียรติยศสำหรับ เป็นทหารอารักขา ร่างของ ร้อยเอก แดนโจ กลับมาตุภูมิ จากการอนุญาตของนายพลแม็กซิกัน มือเทียมของ ร้อยเอกแดนโจ ถูกขโมยในระหว่างสงคราม แต่ก็ได้รับการส่งคืนมาภายหลัง และปัจจุบันได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของเหล่าทหาร ต่างด้าว ลีเจียนแนร์ ณ เมือง Aubague และได้รับการสวนสนามทุกๆปีในวัน Camerone Day และนั้นก็คือเกียรติประวัติที่ล่ำค่าสืบทอดของเหล่าลีเจียนแนร์มายังปัจจุบัน
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAD-wVm7CWDR2EBrvdal6tEkgven-7G36VQ-D2z3dVnof3v0bagwD6ZodCI5UZw3Ce2XgtvjCen3eRwhIfaM_ve6tnrEQit8eOkfdDilc9ySejNSSpTADqnmbWh1ldbD4ZMCBKqxkTPd0/s1600/palestro3rdzou.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504289182201698130" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgAD-wVm7CWDR2EBrvdal6tEkgven-7G36VQ-D2z3dVnof3v0bagwD6ZodCI5UZw3Ce2XgtvjCen3eRwhIfaM_ve6tnrEQit8eOkfdDilc9ySejNSSpTADqnmbWh1ldbD4ZMCBKqxkTPd0/s200/palestro3rdzou.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 136px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
สงคราม Franco-Prussian
<br />
จากกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส ที่ได้วางไว้เกี่ยวกับการใช้กองกำลังลีเจียนแนร์ ว่าจะไม่ถูกใช้จนกว่าทางปารีสจะยอมรับในกรณีที่มีการคุกคามระหว่างชาติ และ นี่ก็เป็นผลที่ทำให้ ไม่มีทหารลีเจียนแนร์ ในกองกำลังของจักรพรรดิ์นโปเลียนที่สามเพื่อการคงไว้ซึ่งกฎหมาย แต่ด้วยการพ่ายแพ้ของทหารจักรพรรดิ์ ในสมัยจักรพรรดิ์นโปเลียนที่สอง และ สาธารณรัฐที่สามก็ถูกตั้งขึ้น
<br />
ในสมัยสาธารณรัฐที่สามใหม่นี้ ได้ทำการแบ่งแยก ทหารเพื่อการเตรียมพร้อมเข้าสู่ส่งคราม Franco-Prussian
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Franco-Prussian_War
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=DF6-oKqPtlk
<br />
ดังนั้นทหารลีเจียนแนร์ได้ถูกนำเข้าสู่กรมกองอีกครั้ง ในวันที่ 11 ต.ค.1870 สองกองพันที่ได้รับการจัดกำลังไว้ชั่วคราว ได้ถูกวางกำลังไว้ที่ Toulon (เมืองท่าอยู่ที่ตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส http://en.wikipedia.org/wiki/Toulon )ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทหารลีเจียนแนร์ได้ถูกวางกำลังในประเทศของตัวเอง โดยพวกเขาได้พยายาม เข้าตีจากการโอบล้อมปารีส ด้วยการหยุดยั้งแนวของทหารเยอรมัน และพวกเขาเข้ายึด Orléans กลับมาจากข้าศึกได้สำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถหยุดการโอมล้อมของข้าศึกได้<iframe frameborder="0" height="350" marginheight="0" marginwidth="0" scrolling="no" src="http://maps.google.com.br/maps?q=Orl%C3%A9ans&ie=UTF8&hq=&hnear=Orleans,+Loiret,+Centre,+France&gl=br&ei=qKhiTMqcJo6NuAfd4cD7CA&ved=0CBYQ8gEwAA&z=11&ll=47.901387,1.903976&output=embed" width="425"></iframe><br />
<small><a href="http://maps.google.com.br/maps?q=Orl%C3%A9ans&ie=UTF8&hq=&hnear=Orleans,+Loiret,+Centre,+France&gl=br&ei=qKhiTMqcJo6NuAfd4cD7CA&ved=0CBYQ8gEwAA&z=11&ll=47.901387,1.903976&source=embed" style="color: blue; text-align: left;">View Larger Map</a></small>
<br />
สงครามใน ศตวรรษ ที่19 สงครามล่าอาณานิคม
<br />
ระหว่างสาธารณรัฐที่สามของฝรั่งเศสนี้ หน่วยทหารลีเจียนแนร์ ได้รับบทบาทหลักในการขยายจักรวรรดิ์สำหรับการล่าเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ด้วยพวกเขาได้ทำการสู้รบในแอฟริกาเหนือ (ในพื้นที่ที่ได้ตั้งกองบัญชาการทหารลีเจียนแนร์ ที่ Sidi Bel Abbès ในประเทศ Algeria) ,การรบที่เบนิน ,การรบที่มาดากัสกา,การรบที่อินโดจีน และ ไต้หวัน
<br />
<br />
ภาพสเก็ตของ พันโท ดอนเนียร์<img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504273573046369810" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhedmleJTk_6Hnm4NZPFKOTX0TiyFwYIvphe2GIPBsK38zc_h2D0WOu6jJWQAkUjQp7v27N8YvXcbByeldg9a_twQZLlGzc_bD1bi6wBA6Omglod6Q9JzeA9kCKmAnq4_EA7XWRItAw_2w/s200/401px-Lieutenant-Colonel_Donnier.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 200px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 134px;" />
<br />
<br />
ยุทธการ ที่ตังเกี๋ย และ สงคราม จีน-ฝรั่งเศส( Sino-French War)
<br />
กองพันทหาร ลีเจียนแนร์ที่ 1 นำโดย พันโท ดอนเนียร์(Lieutenant-Colonel Donnier)ได้ถูกส่งประจำการที่ ตังเกี๋ย ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1883 ช่วงระหว่างนั้น พื้นที่นี้ยังไม่ได้รับการยืนยันการเป็นเจ้าของ จึงเป็นวิกฤติเหตุการณ์กรณีสงคราม จีน - ฝรั่งเศส (ตั้งแต่เดือน ส.ค.1884 ถึง เดือน เม.ย.1885) จากการที่มีการเข้าปะทะที่ประตูทางทิศตะวันตกของ เมือง Son Tay เมื่อ
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNFHpIb1VitQYLitQaJF0Lv6eqnNLRYT8t3uKgdCLUc0PFJtGLTSF2DuYX7fpDecY2tSYtfb6m4P33u9G646NLF9xKW8Ql_Hr5IheUyQD7qkgy3YItHeHPWZLZfciRXH2V6D-9mWh1H4w/s1600/FrenchMarsouinsIndochina1888.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNFHpIb1VitQYLitQaJF0Lv6eqnNLRYT8t3uKgdCLUc0PFJtGLTSF2DuYX7fpDecY2tSYtfb6m4P33u9G646NLF9xKW8Ql_Hr5IheUyQD7qkgy3YItHeHPWZLZfciRXH2V6D-9mWh1H4w/s320/FrenchMarsouinsIndochina1888.jpg" width="267" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
ภาพทหาร ลีเจียนในสมรภูมิเอเชีย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
วันที่ 16 ธ.ค.กองพันทหาร ลีเจียน ที่ สอง และ สาม นำโดย ผบ.พัน ชื่อ Diguet และ พันโท Schoeffer ได้ถูกวางกำลัง ณ ที่ตังเกี๋ยอย่างทันที่ หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และได้เป็น หน่วยหลักในการดำเนินกลยุทธ ของสงคราม จีน - ฝรั่งเศสในกาลต่อมา ,ทหารลีเจียนแนร์ จำนวนสองกองร้อยได้นำการ ป้องกันและล้อมเมือง Tuyen Quang (ระหว่าง 24 พ.ย.1884 ถึง 3 มี.ค. 1885) ในเดือน ม.ค.1885 ,กองพันทหาร ลีเจียนที่ 4 ที่นำด้วย ผบ.พัน ชื่อVitalis ได้ถูกวางกำลัง ณ กองพลน้อยทหารฝรั่งเศส ที่ Keelung (Jilong) และ เกาะFormosa (Taiwan), ในพื้นที่เหล่านี้รวมถึงการเข้าสู่การรบที่ Keelungด้วย กองพันทหาร ลีเจียนแนร์ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการรบ โดยการป้องกันพื้นที่ จากหน่วยของ พันเอก Jacques Duchesne ในเดือน มี.ค.1885 โดยสามารถเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือ La Table และ ค่ายBamboo และทำการปลดปล่อย Keelung ให้เป็นอิสระ.
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSpW14ZhhlzrOhsdpr4lx_jeerxl0oe5I6ocPBkAawwAssfg_kuGLv9201m-_FdotOq0b18WbRtEZ0NIc2bXsmvbbQhPsTESurerpT0ieXcT3yPELlnW1r9H4zmsYXWJCID-ehjk1L6qM/s1600/malakoff.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5504975605210660786" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSpW14ZhhlzrOhsdpr4lx_jeerxl0oe5I6ocPBkAawwAssfg_kuGLv9201m-_FdotOq0b18WbRtEZ0NIc2bXsmvbbQhPsTESurerpT0ieXcT3yPELlnW1r9H4zmsYXWJCID-ehjk1L6qM/s200/malakoff.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 200px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 128px;" /></a>
<br />
กองพันทหารลีเจียนแนร์ ก่อนที่จะจากแผ่นดิน ตังเกี๋ย ได้เข้าร่วมกับ สมรภูมิ Bac Ninh , นายพล François de Négrier ได้ประกาศใจความอันมีสาระสำคัญและเป็นคำขวัญ (Motto)ไว้ว่า : Vous, légionnaires, vous êtes soldats pour mourir, et je vous envoie où l’on meurt! (ทหารลีเจียนแนร์ทั้งหลาย พวกคุณเป็นทหารที่ได้รับคำสั่งเพื่อไปตาย และ ผมจะส่งพวกคุณให้ไปถึงที่นั่น)
<br />
<br />
<br />
ระหว่าง สมรภูมิสงครามโลก
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihi5jEEk14HnppBlD5kcoBSPPCHZUKOyAQsu-gb0ceJuIvZPiU8SJlCPxJanWUTFGQgxMS-_EakrGuttlMS2Ex7_WiiER-A0KxghyIOg1tNCEcKaj6pF9f6mO2yy9lSC1Dcp0vWzJ73cs/s1600/1921_1st_and_2nd_banderas.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505037760949191842" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihi5jEEk14HnppBlD5kcoBSPPCHZUKOyAQsu-gb0ceJuIvZPiU8SJlCPxJanWUTFGQgxMS-_EakrGuttlMS2Ex7_WiiER-A0KxghyIOg1tNCEcKaj6pF9f6mO2yy9lSC1Dcp0vWzJ73cs/s200/1921_1st_and_2nd_banderas.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 118px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
<br />
ในปี 1932 หน่วยทหาร ลีเจียนแนร์ประกอบไปด้วย ทหาร 30,000 นาย อยู่ภายใต้ 6 หน่วยใหญ่ๆดังต่อไปนี้
<br />
หน่วยทหารราบที่ 1 - ประจำการในพื้นที่ แอลจีเรีย และ ซีเรีย
<br />
หน่วยทหารราบที่ 2,3,4 - อยู่ในสมรภูมิ โมร็อคโค
<br />
หน่วยทหารราบที่ 5 - ประจำการในภูมิภาค อินโดจีน
<br />
หน่วยทหารม้าที่ 1 - ประจำการ ณ ประเทศ ตูนิเซีย และ โมร็อคโค
<br />
<br />
ระหว่างส่งครามโลกครั้งที่ 2
<br />
<br />
กองทหารต่างด้าวนี้ ได้ทำการรบ ด้วยกองกำลังขนาดเล็ก ในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมียุทธการร่วมรบในพื้นที่
<br />
ประเทศนอร์เวย์ ,ซีเรีย และ แอฟริกาเหนือ ในหน่วยย่อยของกองพลน้อยที่ 13 ได้ถูกวางกำลังในสมรภูมิ Bir Hakeim และได้ถูกแบ่งออกเพื่อรับใช้ประเทศ ณ ช่วงเวลานั้น ส่วนหนึ่งของทหารลีเจียนแนร์ได้เข้าร่วมกับ กองกำลัง ปฏิวัติเสรีฝรั่งเศส ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไปเข้าร่วมกับ รัฐบาล Vichy (รัฐบาลที่ร่วมกับฝ่ายอักษะ) ในการรบที่ สมรภูมิ ซีเรีย - เลบานอน ในเดือน มิ.ย.1941 เห็นได้ว่า ทหารลีเจียนแนร์ ได้ทำการรบกันเอง ระหว่าง หน่วยย่อยของกองพลน้อยที่ 13 (13th Demi-Brigade )(D.B.L.E.)กับ กรมทหารราบต่างด้าวที่ 6 ของลีเจียนแนร์ ที่ Damas ในประเทศซีเรีย โดยหลังจากนี้น ทหารลีเจียนแนร์จำนวน 1,000 นายทุกชั้นยศของฝ่่่าย รัฐบาล vichy ได้ถูกเข้าร่วมกับ หน่วยย่อยของกองพลน้อยที่ 13 ของกองทัพปฏิวัติเสรีฝรั่งเศส เป็นกองพันที่สาม ช่วงตลอดสงคราม มีทหารเยอรมันหลายนายได้รับการเข้าร่วมกับทหารลีเจียน ที่พวกเขาไฝ่ฝันต้องการอยู่กับหน่วยทหารชั้นยอด ด้วยรูปแบบการฝึกที่สามารถไปได้ไม่่ยากเย็นนักสำหรับในเยอรมันนี โดยชายชาวเยอรมันพวกเขายังนิยมสมัครเข้าเป็นทหารลีเจียนแนร์อย่างไม่ขาดสาย กระทั่งปัจจุบันนี้
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh283iXp7Zj8rx9MCK3eDSNUlYovw80bcd6pn_n55YzBFkIxpyxz_kN5d8SAiftM0_CGC2ERRxIAKQ_GVIaECOdhNA5r7lHx8YdKHQiaxDFafvs9kU6cQSjZHHsi6n5qxEK-I6e4N-hhQY/s1600/l985YR.png" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh283iXp7Zj8rx9MCK3eDSNUlYovw80bcd6pn_n55YzBFkIxpyxz_kN5d8SAiftM0_CGC2ERRxIAKQ_GVIaECOdhNA5r7lHx8YdKHQiaxDFafvs9kU6cQSjZHHsi6n5qxEK-I6e4N-hhQY/s320/l985YR.png" width="182" /></a></div>
<br />
สภาพธงชัยเฉลิมพลของกองพันทหารลีเจียนแนร์ที่ 5 ถูกทหารไทยยึดได้ ในภาพ มีจอมพล ป.ร่วมอยู่ด้วย สงครามไทย-ฝรั่งเศส(รัฐในอารักขากัมพูชา)
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZrz-wU0t-cArudeGKZGBxs4vMuHFrSdVJ0tdn5Q4QATH1syZwasDicdidtrWduqWZGCgbhlCDjb7JNlv-YUOihqnhSZlYpXQU87U4Pz9ZRGgI5JCFZgcGCkZ3XQt_oiIkhWGP2g-mIxg/s1600/images.jpg"></a><br />
สงครามฝรั่งเศส /ไทย กรณีพิพาทอินโดจีน สงครามอินโดจีน (Guerre franco-thaïlandaise 1940–1941) ได้เกิดการสู้รบกันระหว่างประเทศไทย กับ รัฐบาลฝรั่งเศสของ Vichy ในกรณีพิพาทระหว่างเขตแดน ของ อินโดจีนฝรั่งเศสที่เป็นของไทยแต่เดิม
ได้มีการเจรจาสงบศึก ในช่วงสั่นก่อนส่งครามโลกครั้งที่สอง ได้แสดงให้เห็นว่าทางฝ่ายรัฐบาลฝรั่งเศสมีความต้องการปักปันเส้นเขตแดนระหว่างทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีการถอนตัวของฝรั่งเศสในช่วงปี 1940 โดย พลตรี หลวงพิบูรณ์ สงคราม หรือที่รู้จักกันในนาม พิบูรณ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย และการที่ฝรั่งเศสตัดสินใจพ่ายแพ้สงครามและมีผลทำให้ ประเทศไทยได้ดินแดนที่เสียไปในสมัย นายหลวง ร.๕ กลับคืนมา
<br />
<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh034h-LFuVsg2UdmehvLHBl5c7wNpmPju9bi6-d40l2rpQeRMpMbyoaFWe1btm2ks43w6Vz9DXGzlMauWzS_-2hnjvpwhZ5RuHsmzNyyQysvSacxGDi5D3DccTHq6__hYkpvEQLzCwGlM/s1600/imagesar.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5505781018784793090" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh034h-LFuVsg2UdmehvLHBl5c7wNpmPju9bi6-d40l2rpQeRMpMbyoaFWe1btm2ks43w6Vz9DXGzlMauWzS_-2hnjvpwhZ5RuHsmzNyyQysvSacxGDi5D3DccTHq6__hYkpvEQLzCwGlM/s200/imagesar.jpg" style="float: left; height: 129px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a><br />
<br />
การโจมตีด้วยเครื่องบินของกองทัพไทยในอาณานิคมฝรั่งเศส
<br />
<br />
นี่เป็นบันทึกในการรบช่วงหนึ่งในส่งคราม ฝรั่งเศส /สยาม
<br />
กองกำลังของฝ่ายฝรั่งเศสนำโดย พันเอก Jacomy เข้ายึดป้องกันพื้นที่เขต RC.1 และทำการประทะที่ Yang Dam Koum และพื้นที่นี้ได้ถูกโจมตีอย่างหนักตั้งแต่เริ่มแรกเลยทีเดียว กองกำลังประกอบไปด้วย หนึ่งกองพันทหารราบอาณานิคม (ชาวยุโรป) และ สองกองพันทหารราบผสม (ยุโรป/อินโดจีน) พื้นที่ป่าภูเขาทำให้การทำงานของปืนใหญ่ ลำบากมากขึ้น กองกำลังทางอากาศของฝรั่งเศสไม่ได้แสดงผลงานเลย ได้ปล่อยให้กองทัพอากาศสยามเป็นเจ้าครองเวหาฝ่ายเดียว และการสื่อสารด้วยวิทยุทำได้อย่างจำกัดจำเขี่ย ฝ่ายฝรั่งเศสได้รับคำสั่งให้ใช้ รหัสมอส ในการส่งข้อความ บ้างครั้งยังยากจะอธิบายให้ทราบว่าทำไม ฝ่ายสยามจึงได้ล่วงรู้การเคลื่อนไหวฝ่ายเรา(ฝรั่งเศส)อยู่บ่อยครั้ง การแตกพ่ายอย่างราบคาบในการป้องกันพื้นที่นี้ โดยที่ทหารสยาม ได้บุกทะลวงโจมตี กองพัน ของกรมทหารลีเจียนแนร์ที่5 ในหน่วยทหารราบต่างด้าว ณ Phum Préau ทหารลีเจียนแนร์โดนตีอย่างหนักหน่วง จากหน่วยยานเกราะของฝ่ายทหารสยามทีมี ปืนขนาด 25mm และ 75mm ที่ใช้สำหรับต่อสู่รถถัง แต่ในขณะนั้นหน่วยทหารราบยานยนต์ฝรั่งเศสได้เข้าเสริมแนวรบ ของ กรมทหารราบอาณานิคม ที่ 11 ทำให้รถถังฝ่ายสยามถูกทำลายไปสามคัน และที่เหลือได้ถอยร่นออกไป การเบี่ยงเบนในการเข้าปะทะ บนพื้นที่แม่น้ำโขงได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญและน่าจดจำไปกว่านั้นก็คือสงครามใหญ่ที่กำลังต่อสู่อยู่ในอ่าวของสยาม
<br />
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
<br />
http://www.militaryhistoryonline.com/20thcentury/francosiamese/default.aspx
<br />
http://www.showded.com/myprofile/mainblog.php?user=panorama&jnId=164684
<br />
First Indochina War
<br />
<br />
สงคราม ฝรั่งเศส - เวียตมินห์ สมรภูมิ เดียน เบียน ฟู Trận Điện Biên Phủ
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgva8xrgSm7Gav_NMhzhQ-3LbL5AZ4i67bqnVHxoPapA5S8_3DN3YESjbQfGRfJjVg5jbUEiEJvkJlQ6XjoOA9NXwLXO2mpbwPeEa4OGW5fFgBdFro-fCTOB8yCOpU6YuspTFmj5q3MKlU/s1600/vietnam_ho_chi_dien_bien.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506055154544074610" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgva8xrgSm7Gav_NMhzhQ-3LbL5AZ4i67bqnVHxoPapA5S8_3DN3YESjbQfGRfJjVg5jbUEiEJvkJlQ6XjoOA9NXwLXO2mpbwPeEa4OGW5fFgBdFro-fCTOB8yCOpU6YuspTFmj5q3MKlU/s200/vietnam_ho_chi_dien_bien.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 200px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 159px;" /></a>
<br />
จากการประกาศตัวเป็นเอกราช ของ ประชาชนชาวเวียดนามที่รักชาติ นำโดย ท่านผู้นำ โฮจิมินห์ รวมแล้วเรียกผู้กอบกู้เอกราชจากอาณานิคมฝรั้่งเศสว่า เวียดมินห์ โดยเริ่มมีการปลูกฝังค่านิยมความคิดและการดำเนินการแบบป่าล้อมเมืองตามแบบอย่างประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์ นิยมปฏิบัติกันในสมัยนั้น ซึ่งการดำเนินนโยบายปลดปล่อยตัวเอง ได้เข้าไปมีอิทธิพลทั้งในประเทศเวียดนามเอง และในลาวเพิ่มขึ้น ฝ่ายฝรั่งเศสตระหนักถึงข้อนี้ดี เนื่องจากการรุกฮือของเวียดมินห์ ระว่างปี 1951 - 1953 วันที่ 13 มกราคม 1951เกี๊ยบเคลื่อนกำลังกองพลที่ 308 และ 312 จำนวนกว่า 20,000 คน เข้าโจมตีวินเยน (Vĩnh Yên) ที่อยู่ห่างจากฮานอยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 20 ไมล์ ที่นี่มีกรมทหารต่างด้าวที่ 9 จำนวน6,000 คน การยุทธที่วินห์เยน, เกิดขึ้นในวันที่ 13 - 17 มกราคม 1951 เป็นการรบใหญ่ครั้งหนึ่งในสงครามอินโดจีนครั้งแรก ระหว่างกองกำลังของฝรั่งเศสที่นำโดยนายพล จอง เดอ ลัทเทอร์ เดอ ทัสซิงยี วีรบุรุษในสงครามโลกครั้งที่ 2 กับฝ่ายเวียดมินห์ ที่นำโดยนายพล โว เหงียน เกี๊ยบ ผลของสงครามครั้งนี้ทำให้ชัยชนะที่ผ่านมาของฝ่ายเวียดมินห์ต้องถูกหยุดลง
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcoCJ8mC-YGZ_ij9-jgbJcH6Xi1wsN6vZzwi87K0aCGnuK7Iam-G90RIbigBOpl_eMobTn63qhqc0JNJOwMnYgux8pkiVg6nPxOJ2IhlLAo6RCMaEENwBPHtDYUmKDFuX8DbvhkLqYQro/s1600/untitled.bmp"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506076307027484706" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjcoCJ8mC-YGZ_ij9-jgbJcH6Xi1wsN6vZzwi87K0aCGnuK7Iam-G90RIbigBOpl_eMobTn63qhqc0JNJOwMnYgux8pkiVg6nPxOJ2IhlLAo6RCMaEENwBPHtDYUmKDFuX8DbvhkLqYQro/s200/untitled.bmp" style="cursor: pointer; float: left; height: 138px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
<br />
นับเป็นชัยชนะของฝรั่งเศสเหนือกว่าอินโดจีนอีกคร้้ง แต่เวียดมินห์ก็ได้รับการสถาปนา กำลังขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งได้รับการสนับสนุนยุทธปัจจัยจากประเทศ คอมมิวนิสต์พี่ใหญ่อย่างจีน ทำให้กองกำลังเวียดมินห์ รุกคืบอย่างหนักไปยังเมืองอีกหลายเมืองในเวลาต่อมา ถึงจะเสียกำลังพลจากการโจมตีฝรั่งเศสไปมาก แต่เวียดมินห์ก็ยังสามารถ หากองกำลังทดแทนได้อยู่เสมอ เป้าหมายการขยายตัวต่อไปคือ หลวงพระบาง และ บริเวณทุ่งไหหิน ซึ่งทำให้ฝรั่งเศสต้องหาทางหยุดยั้งการรุกคืบนี้ให้ได้ เหล่านี้เป็นปัญหาไม่เฉพาะฝรั่งเศสเท่านั้นแต่มันเป็นปัญหาของประเทศโลกเสรี ทั้งหมดในการนิยามตามทฤษฎีโดมิโน ของสหรัฐอเมริกา จากคำพูดของ ประธานธิบดี ดไวท์ ดี ไอร์เซนเฮาว์ ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎีนี้อาจมีผลทำให้ประเทศแถบอินโดจีน และ ออสเตเลีย รวมถึง นิวซีแลนด์ เป็นประเทศคอมมิวนิสต์ไปด้วย ทางด้านอเมริกันจึงจำเป็นต้องเขาร่วมสนับสนุนการสะกัดกั้นการรุกคืบของคอมมิวนิสต์ในครั้งนี้ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยครั้งแรกเป็นการส่งผู้แนะนำทางทหาร และ ยุทโธปกรณ์ รวมทั้งเงิน ให้กับฝรั่งเศส เพื่อใช้ทำสงครามกับเวียดมินห์ด้วย แต่ยังไม่ลงมาแบบเต็มตัว ซึ่งอเมริกันได้จ้องดูสถานการณ์ อยู่ห่างๆอย่างไม่กังวลใจเท่าใดนัก กับการปฏิบัติการของฝรั่งเศสในครั้งนี้ เพราะอย่างไร ทางเวียดมินห์ก็ไม่สามารถเทียบกับระบบส่งกำลังบำรุง และยุทโธปกรณ์อันทันสมัยของกองทัพโลกเสรีได้
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5bmaVWw5mxox-KsMg3bJpC77ILpb0XNkXVH796smj9R3_KMQhTNEWvGJ791la17hLH_ScFqHAKNuVXFjBbE32OuJ-C3yPAoD8G9STo2A8oAAaGuHMpstl95B9vZ7GCF1K6yDOOih8yEk/s1600/ban_do_chien_dich_dbp_1954_500.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506127674844284930" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5bmaVWw5mxox-KsMg3bJpC77ILpb0XNkXVH796smj9R3_KMQhTNEWvGJ791la17hLH_ScFqHAKNuVXFjBbE32OuJ-C3yPAoD8G9STo2A8oAAaGuHMpstl95B9vZ7GCF1K6yDOOih8yEk/s200/ban_do_chien_dich_dbp_1954_500.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 200px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 135px;" /></a>
<br />
<br />
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtlrYp1r-yFu3T9z47PVu_pmAqheD2c89SKuFkCIucU_yDxwbWdDcIIuTx7UirDdX46lo2HJnLd8tLrIbBcyRxI8jqE7BrnQ3dx8HKGv_aY3NtE5pvinL2QK8uMq3WQScff5Oee4pm0ZU/s1600/carte%2520dien%2520bien%2520phu%25202003%25202%2520nov.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506076565764069810" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtlrYp1r-yFu3T9z47PVu_pmAqheD2c89SKuFkCIucU_yDxwbWdDcIIuTx7UirDdX46lo2HJnLd8tLrIbBcyRxI8jqE7BrnQ3dx8HKGv_aY3NtE5pvinL2QK8uMq3WQScff5Oee4pm0ZU/s200/carte%2520dien%2520bien%2520phu%25202003%25202%2520nov.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 155px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
<br />
<br />
ทางฝรั่งเศสได้วิเคราะห์หาจุดยุทธศาสตร์ในการตัดการแพร่กระจายของเวียดมินห์ และเห็นว่า พื้นที่ ของหุบเขาที่มีแม่น้ำผ่านกลาง ที่เมือง เดียน เบียน ฟู เหมาะสมที่สุด เพราะเป็นการทำให้ข้าศึกเห็นว่าที่นี่เป็นชัยภูมิที่เสียเปรียบ และต้องการที่จะให้เวียดมินห์โหมกระหน่ำตี ด้วยวิธีคลื่นมนุษย์ เป็นหลักการที่เคยใช้ในประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ทั้งยังเป็นจุดกลยุทธที่สำคัญในการสกัดกั้นเวียดมินห์ออกจากลาวอีกด้วย ฝ่ายเสนาธิการฝรั่งเศสที่นำโดย นายพล อองรี นาวาร์ (General Henri Navarre) เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการในอินโดจีน ได้ทำการประเมินยุทธวิธีนี้ว่าได้เปรียบจากการได้รับการส่งกำลังบำรุงและโจมตีจากเครื่องบินและ ปืนใหญ่ ปืน ค.พร้อมรถถัง M24 อีกจำนวนหนึ่ง อีกทั้งพร้อมด้วยกำลังพล หน่วยกองพลร่ม ที่ 1 และ 2 ของทหารลีเจียนแนร์ และทหารประจำถิ่นอาณานิคม ก็จะสามารถตัดกำลังเวียดมินห์ออกได้ เดือนมีนาคม – พฤษภาคม สงครามเดียน เบียน ฟู ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ทว่าสถานการณ์ในการรบจริงไม่ได้เป็นไปตามที่ฝรั่งเศสต้องการ ทางเวียดมินห์ได้ตระเตรียมยุทธปัจจัยมาล่วงหน้าเป็นเวลากว่าสองเดือนก่อนสงครามจะระเบิดขึ้น ด้วยการเคลื่อนย้าย ปืนใหญ่ และ ปตอ.และ ค. จำนวนมาก ไปยังชัยภูมิที่มีลักษณะสูงข่ม บนยอดเนินเขาโดยรอบพื้นที่ เดียน เบียน ฟู โดยใช้การขุดดินทำฐานปืนยิงตรงบนหัวเขา สำหรับ โฮจิมินห์แล้ว พื้นที่ ตั้งรับของฝรั่งเศสก็เปรียบเหมือนก้นถ้วยชามข้าว และพวกเขาแค่จ้องมองลงไปจากปากชามนั้น ฝรั่งเศสประเมินเวียดมินห์ต่ำเกินไป โดยฝ่ายเสนาธิการทางทหารของฝรั่งเศสได้วิเคราะห์กองกำลังเวียตมินห์ ว่าไม่สามารถใช้ปืนใหญ่ทำการยิงจำลองได้ ถึงได้ก็ยิงได้ไม่เกินสามนัด เพราะนัดที่สี่ทางฝรั่งเศสจะทราบตำแหน่งฐานปืนใหญ่อย่างแน่นอน การวิเคราะห์นี้ก็ไม่เกินจากความจริงนักแต่ฝรั่งเศสกับลืมไปว่าปืนใหญ่นอกจากจะยิงจำลองได้แล้ว(การยิงจำลอง คือ การยิงโดยใช้ผู้ตรวจการณ์หน้าพร้อมยิงด้วยกระสุนวิถีโค้ง) และการยิงตรงก็ทำได้เช่นกันโดยถ้าสามารถเห็นเป้าหมายก็ทำการยิงได้ทันที นั่นหมายถึงการที่ต้องตั้งฐานปืนในพื้นที่สูงข่ม ซึ่งปัจจัยนี้การคมนาคมเป็นหลักสำคัญฝรั่งเศสประเมินศักยภาพของ เวียตมินห์ คือกองทัพคอมมิวนิสต์ชาวนาจนๆที่มีแค่อุดมการณ์ไร้ตัวตน และนั้นก็คือพลังการต่อสู่ที่หารูปแบบไม่ได้ และปราศจากตัวตนจริงๆ สำหรับข้าศึกของฝรั่งเศสในครั้งนี้ การส่งกำลังบำรุง ให้กับทหารพลร่มเข้าสถาปนาพื้นที่การรบแล้ว ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะโดนรบกวนจาก ปตอ.จำนวนมากของเวียดมินห์โดยตลอด ตอนนี้ทหาร ลีเจียนแนร์ได้กระโดดออกจากเครื่องบินลงนรกโดยแท้จริง เพราะทั้งขาดเสบียงและเวชภัณฑ์ แต่ที่ได้รับแทนก็คือลูกกระสุนปืนใหญ่และลูกปืน ค.จากฝ่ายเวียดมินห์ ยุทธการนี้จึงกลายเป็นกลยุทธ คูสนามเพลาะในแบบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอีกครั้ง ตอนแรกดูเหมือนฝ่ายฝรั่งเศสจะใช้พลร่มโอบตีได้สำเร็จ แต่ด้วยภูมิประเทศอันจำกัด ทำให้การรุกคืบเป็นไปได้ลำบาก ฝรั่งเศสพยามเป็นอย่างมากที่จะหาหน่วยปืนใหญ่ของเวียดมินห์แต่ก็ไร้ผล เพราะเนื่องว่าได้รับการอำพรางเป็นอย่างดี และจากภูมิประเทศป่่าภูเขาทำให้ยากต่อการตรวจการ ตอนนี้ค่ายเดียน เบียน ฟู ก็ได้เป็นไข่ดาว รอวันที่ถูกเจาะเท่านั้น และท้ายสุดเวียดมินห์ระดมกำลังเข้าตีครั้งใหญ่ในคืนวันที่ 1 พฤษภาคม จนสามารถยึดฐาน Elaine 1, Dominque 3, และ Huguette 5 ฝรั่งเศสพยายามต้านทานการบุกที่ฐาน Elaine 2 วันที่ 6พฤษภาคม, เวียดมินห์ก็ระดมกำลังโจมตีฐาน Elaine 2 อีกครั้ง คราวนี้เป็นครั้งแรกที่เวียดมินห์ใช้จรวดคัทยูช่า (Katyusha) ถล่มฝ่ายฝรั่งเศส ฝรั่งเศสระดมยิงปืนใหญ่สกัดกั้นคลื่นการรุกของฝ่ายเวียดมินห์สำเร็จ อีกหลายชั่วโมงต่อมาเวียดมินห์เข้าตีอีก หลังการสู้รบอย่างดุเดือดหลายชั่วโมง ฐาน Elaine 2 ก็แตก
<br />
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyWgnoQm5ObM0CvrWZusHZIZeI0DHXcxi2_SGeUpJP0-hASzc6oAsxq7XLvQMqXPKGm6EyHpSXmsnTBQGDfoJ5V5NxmpDFZ_-hGaYTrUgFXTCo7ute0L-YopUjroqCdNtvEnjY0Ta5dP4/s1600/ooo_france_vietnam_dien_bien_phu_parachuting_soldiers_small.jpg"><img alt="" border="0" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506077036670282226" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyWgnoQm5ObM0CvrWZusHZIZeI0DHXcxi2_SGeUpJP0-hASzc6oAsxq7XLvQMqXPKGm6EyHpSXmsnTBQGDfoJ5V5NxmpDFZ_-hGaYTrUgFXTCo7ute0L-YopUjroqCdNtvEnjY0Ta5dP4/s200/ooo_france_vietnam_dien_bien_phu_parachuting_soldiers_small.jpg" style="cursor: pointer; float: left; height: 133px; margin: 0px 10px 10px 0px; width: 200px;" /></a>
<br />
<br />
นายพล เกี๊ยบ สั่งให้ทุกหน่วยเข้าโจมตีหน่วยทหารของฝรั่งเศสที่ยังเหลืออยู่, การสู้รบอย่างดุเดือดดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องจนถึงค่ำของวันที่ 7พฤษภาคม ฐานของฝรั่งเศสทุกฐานในตอนกลางของค่ายก็ถูกเวียดมินห์ยึดได้สำเร็จ ทางด้านทหารที่ประจำบนฐาน Isabelle ได้พยายามตีฝ่าวงล้อมออกมาเช่นกัน กำลังส่วนใหญ่ของฐานแห่งนี้ไม่สามารถรอดออกจากหุบเขาได้ มีเพียงทหารราว 70 คนเท่านั้น (จาก 1,700 คน) ที่เล็ดรอดหนีไปถึงลาวได้สำเร็จ
<br />
เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง ฝรั่งเศสหวังใช้การเจรจาสันติภาพที่เจนีวาเป็นทางรอด โดยการประชุมดังกล่าวเริ่มขึ้นในวันที่ 26 เมษายน แต่ที่มั่นสุดท้ายของฝรั่งเศสถูกเวียดมินห์โจมตีแตกในวันที่ 6 พฤษภาคม หลังที่มั่นสุดท้ายถูกถล่มด้วยจรวดคัทยูซาของรัสเซียจนต้องยอมแพ้ในที่สุด
<br />
<br />
หลังการรบ
<br />
<br />
วันที่ 8พฤษภาคม, เวียดมินห์จับเชลยศึกได้ 11,721 คน, ในจำนวนนี้เป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บ 4,436 คน ถือเป็นจำนวนเชลยศึกที่เวียดมินห์จับได้มากที่สุดในคราวเดียว หรือเท่ากับหนึ่งในสามของเชลยที่ถูกจับได้ตั้งแต่เริ่มสงคราม บรรดาเชลยถูกแยกเป็นกลุ่มๆ จากนั้นก็เดินเท้ากว่า 250 ไมล์ไปยังค่ายเชลยทางตอนเหนือและทางตะวันออก เชลยนับร้อยคนเสียชีวิตระหว่างเดินทาง ผู้บาดเจ็บถือเป็นอันดับแรกที่ต้องดูแลจนกว่าเจ้าหน้าที่กาชาดจะมาถึง, ผู้บาดเจ็บ 838คน ถูกเคลื่อนย้ายไปทันที ที่เหลือได้รับการปฐมพยาบาลเท่าที่จะทำได้และเชลยที่เหลือถูกกักตัวไว้สภาพในค่ายเชลยเลวร้าย เชลยจากเดียนเบียนฟูหลายคนเป็นทหารต่างด้าวเชื้อสายเยอรมัน เชลยต้องอยู่กันอย่างแออัด, อดอยาก และถูกทารุณ ทำให้เชลยจำนวนมากเสียชีวิต จากทั้งหมด10,863 คน อีก 4เดือนต่อมาเหลือเพียง 3,290คน
<br />
<br />
สรุป การรบครั้งนี้ฝรั่งเศสเสียทหารไป 2,200 คน จากกำลังทั้งหมด 20,000 คน ส่วนเวียดมินห์เสียทหารไป 8,000คน บาดเจ็บอีก 15,000 คน จากทหารทั้งหมด 100,000 คน
<br />
<br />
ผู้เขียนจะพยายามเพิ่มเติมข้อมูลเหล่านี้อีกเรื่อยๆ ครับ ตอนนี้พออ่านเป็นวิทยาทานข้อมูลไปก่อน แต่ถ้าใครสนใจที่ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม หรือ อยากจะสมัครเป็นทหารต่างด้าวนี้สามารถทำได้ เพราะทางหน่วยรับสมัครจะไม่จำกัดสัญชาติ และภาษา ซึ่งมีรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษ http://www.legion-recrute.com/en/ และอยู่ที่บทความอ้างอิงด้วยครับ สำหรับการเป็นทหารต่างด้าว (ลีเจียนแนร์)นั้นรายดีได้พอสมควรทีเดียวกินอยู่ฟรี แถมเครื่องแบบ และมีเงินให้อย่างต่ำ 1205 €ยูโร มีหยุดพักปีล่ะหนึ่งเดือน ถ้าไปประจำการที่นอกประเทศฝรั่งเศสจะได้เงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงเพิ่มเติม ถ้าได้เป็นหน่วยพลร่มจะได้ค่าปีกเพิ่มเติมอีกด้วย เช่นการไปประจำการหน่วย 13°DBLE ที่ จีบูติ จะได้เงินเดือนละประมาณ 3567 € ยูโร ถือว่าไม่เลวทีเดียว อัตราความเสี่ยงอยู่ที่ 1:10 คนทีสมัครอายุ 18 ขึ้นไปและต้องไม่เกิน 40ปี สายตาสั้นพอรับได้ ใช้พาสปอตร์ ท่องเที่ยวมาสมัครได้ ที่สำคัญฟิตร่างกายให้พร้อมต่อการทดสอบร่างกายและตรวจสุขภาพประมาณ สิบห้าวัน และรอผลการคัดเลือกอีกหนึ่งอาทิตย์ ถ้าผ่านแล้ว ต้องทำสัญญาเป็นทหารห้าปี และไปฝึกอยู่กับเขาอีก เป็นเวลา สิบห้าอาทิตย์ และที่สำคัญไม่จำเป็นต้องพูดภาษาฝรั่งเศสได้เพราะทางหน่วยฝึกจะมีให้เรียนภาษาในตัวด้วย แม้ว่าจะมาจากประเทศเดี่ยวกันทางศูนย์ฝึกจะจับแยกให้อยู่กับคู่หูที่พูดภาษาฝรั่งเศสแทน แต่การได้ศึกษาภาษาฝรั่งเศสมาบ้างก็จะช่วยให้อยู่ง่ายขึ้น อยู่แล้วติดใจอยากอยู่ต่อสามารถสอบแข่งขันเป็นนายสิบ และเลื่อนฐานะขึ้นไปได้ถึงนายทหารเลยทีเดี่ยวครับ ปัจจุบันนี้มีทหารต่างด้าวที่เป็นสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ประมาณ ห้าสิบคนแล้ว ส่วนคนไทยเคยมีไปเหมือนกันแต่ในปัจจุบันไม่ทราบจำนวนแน่นอน ถ้าใครสนใจก็ลองได้เลยครับ แค่เตรียมร่างกายให้พร้อมไว้ ตรวจสุขภาพพื้นฐานให้ดี โดยเฉพาะการวิ่งทน เดินทน ให้อึดมากๆหน่อยและขอให้โชคดีครับ
<br />
จากธีรพงษ์
<br />
วีดีโอลิงค์การฝึกจากศูนย์รับสมัครจนจบหลักสูตร สามารถนำไปเป็นข้อมูลการตัดสินใจได้ครับ มี 5 ตอน
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=uy0QsV1CWhE&feature=related
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=uYbmrz7oZcc&feature=related
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=WajCMEH6L9A&feature=related
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=kvEbajjJ3bM&feature=related
<br />
http://www.youtube.com/watch?v=Ay91AkzuPIc&feature=related
<br />
<br />
บทความอ้างอิง
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/French_Foreign_Legion
<br />
http://french-foreign-legion.com/
<br />
http://www.answers.com/topic/french-foreign-legion
<br />
http://french-foreign-legion.com/french_foreign_legion_enlistment.html
<br />
http://www.legion-recrute.com/en/
<br />
http://www.absoluteastronomy.com/topics/French_Foreign_Legion
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Battle_of_Camar%C3%B3
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Jean_Danjou
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Franco-Prussian_War
<br />
http://www.historum.com/showthread.php?p=218800
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/File:Lieutenant-Colonel_Donnier.jpg
<br />
http://en.wikipedia.org/wiki/Vichy_France
<br />
http://forum.axishistory.com/viewtopic.php?t=113632
<br />
http://balagan.org.uk/war/rif-wars/timeline_third.htm
<br />
http://www.ocnus.net/cgi-bin/exec/view.cgi?archive=107&num=27536
<br />
http://www.militaryhistoryonline.com/20thcentury/francosiamese/default.aspx
<br />
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hummel&month=05-2007&date=23&group=2&gblog=1
<br />
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=hummel&group=2
<br />
http://lib.ru/TXT/franclegion.txtภาพทหารฝรั่งเศสในยุทธภูมิเอเชียตะวันออกเฉียงใต้teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-51614741410252851462010-07-15T08:33:00.000-07:002010-07-15T08:33:41.084-07:00ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์<a href="http://www.set.or.th/set/companyprofile.do?symbol=CPN&language=th&country=TH">ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : ข้อมูลรายบริษัท/หลักทรัพย์</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-68759360851821541682010-06-24T06:59:00.000-07:002010-06-24T08:41:43.650-07:00จุดจบ มนุษย์ เชลีย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUmolDQwyOz6JmnxARVzJyeB7NaKBhLdBko40GGOZB8nD9Y9jVoX3tyHGtvHfEPvJRvoUVRMGiYP0B3mlNJlyWGrbyPWSWWstx5eDIepZIRaEHYsbeuPYpbDkRTRnHxDey9asRy7-QuQE/s1600/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 145px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUmolDQwyOz6JmnxARVzJyeB7NaKBhLdBko40GGOZB8nD9Y9jVoX3tyHGtvHfEPvJRvoUVRMGiYP0B3mlNJlyWGrbyPWSWWstx5eDIepZIRaEHYsbeuPYpbDkRTRnHxDey9asRy7-QuQE/s200/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5486352508682215090" /></a><br /> ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ว่าตามการปกครอง ประเทศ หรือ การบริหารกิจการใหญ่ และในแวดวงการทำงาน โดยเฉพาะงานราชการด้วยแล้วมีเยอะ และการที่ได้อ่านจากตำรา หรือ ภาพยนต์ในอดีต นั้นท่านจะได้พบกับ บุคคลลักษณะหนึ่งที่สามารถสร้างอารมณ์ ความหมั่นไส้ ด้วยอาการมือไม่พายเอาเท้าลาน้ำ หรือ ประจบประแจงเจ้านาย เอาความดีเข้าตัวความชั่วให้คนข้างๆ หรือ ทำอะไรไม่เป็นเก่งแต่ยืมมือคนอื่นใช้แล้วเข้าไปนำเสนอ พูดดีคิดได้ และทำไม่ได้ ไอ้พวกเหล่านี้ หรือเหล่ามนุษย์ที่มีสายพันธ์เหล่านี้ ได้ทำการต่อสู่เอาตัวรอดมาหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ ยุคศักดินา (คลื่นลูกแรก) ต่อมายังยุคปฏิวัติอุตสหกรรม (คลื่นลูกที่สอง) มาถึงยุคข้อมูลข่าวสาร(คลื่นลูกที่สาม)เริ่มอยู่ลำบากแต่ก็ยังมีอยู่ ต่อไปเป็นยุคของแท้อยู่รอด Virtually Ageไม่เจ๋งจริงกลับบ้านไป (คลื่นลูกที่สี่) คนจำพวกนี้เคยอาศัย มือและเท้า ของชาวบ้านมานาน จนทำอะไรเองไม่ค่อยได้ แต่อาศัยปาก ทำงานประจบ ผู้หลักผู้ใหญ่ แต่มาเข้ายุคที่สี่นี่แล้ว ทุกอย่างเป็นการแข่งขัน วัดกันที่ความสามารถ การเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูงอย่างทุกวันนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน ขึ้นลงยิ่งกว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ พวกมีแต่ผ้ากระเตียว แปะหน้า จะหาทางรอดจากภาวะการต่อสู่นี้ได้อย่างลำบาก ของดีและของเลิศเท่านั้นที่ยังคงอยู่ คนมีความรู้ความสามารถเท่านั้นที่ตลาดโลกต้องการ ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับ เขตแคว้น หรือ สถาบันใดอีกต่อไป ถ้าคนที่เขามีความสามารถจริงและอยู่กับหน่วยงานที่ไม่ต้องการคนมีความสามารถ หรือ เขาเองไม่มีกำลังพอที่จะผลักดันให้เกิดจุดวิกฤตของการพัฒนาในองค์กรได้ สภาวะสมองทะลัก ก็จะเกิดขึ้น กับองค์การเหล่านี้คลาวนี้ก็จะต้องเหลือแต่พวกเน่า ดีแต่ปากแต่ทำงานไม่เป็น ต่อมาองค์นั้นๆจะต้องปิดตัวเองลงไปอย่างน่าอนาถในที่สุด<br /><br /> โลกนี้เปิดกว้างเสมอ สำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้และหาประสบการณ์ และกล้า ท้าทาย พวกแหยง เหยี่ยบขี่ไก่ไม่ฝ่อหลบไป โอกาสเปิดให้สำหรับผู้ที่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง และผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา มีการพัฒนาการศึกษาตลอดชีวิต จะอยู่ในโลกยุคที่สี่นี่ได้อย่างเสพสุข นักเรียนนักศีกษาที่มีความสามารถ และความคิด มีการเรียนรู้จากการคิดเองเป็น (ไม่ใช่นักคิดแบบเอาตำราเขามานั้งคิดตามโดยไม่แตกยอด )จะเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ด้วยค่าแรงที่ประเทศของตนไม่สามารถหาให้ได้ คนเหล่านี่ก็จะเดินทางไปยังสิ่งที่เขาต้องการ และที่ที่สามารถทำความฝันของเขาให้เป็นจริงได้ โดยไม่สนใจกับคำว่า ภักดี หรือ เพื่อชาติ อีกต่อไป **เป็นที่น่ากลัวสำหรับสังคมไทยที่จะขาดแรงงานชั้นมันสมองและนักคิดนักพัฒนาในอนาคตในใกล้นี้** <br /><br /> การครอบงำทางความคิด ในโลกยุดข้อมูลข่าวสาร การครอบงำความติดนี้ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพได้อีกต่อไป การร่วมพลังทางความคิดอิทธิพลของความเป็นรัฐชาติ เปลี่ยนไปแล้วและได้แตกย่อยกันไป อาการต่างความเชื่อและความคิดเพื่มจำนวนมากยิ่งขึ้น การค้นหาความจริงไม่ใช่สิ่งที่ยุ่งยากแต่ประการใด ความรู้มิได้ถูกจำกัดแค่ภายในตำราและจากกระดาษเสียแล้ว การเปลี่ยนถ่ายเชิงปัญญาสามารถทำได้ฉับพลันไร้ตัวตนเหมือนลมจากโอษฐ์ของพระเจ้า การสุ่มหัวร่วมคิดของนักปฏิวัติหลากหลายกรรมาชีพทำได้ตลอดเวลา ผู้ที่ก้าวไม่ทันจะหลบหายจากการมีตัวตนอยู่ในสังคมใหม่เหล่านี้ ยากแก่การยัดเยียดหลักความคิดและหลักความเชื่อที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้อีกต่อไป ของแท้ที่จะคงอยู่ได้ ของจริงเท่านั้นที่จะทนทานต่อการถูกกระทบจากคลื่นความผันผวน The Best เท่านั้นจะคงอยู่ รอดูพิสูจน์ต่อความจริง และจะเป็นผู้เดียวที่ถูกสังคมเลือก ของปลอมถอยไป.........teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-84551916146325840712010-04-12T14:40:00.000-07:002010-04-17T16:41:20.580-07:00นิทานก่อนนอน เจ้ามดแดง กับ เทวดากบ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDT8tUYV9VG5ZiP8mNy8VJxvSVtLf7GpuBhIlcAhNLf_-Z9iyZ_9Iu3P9FZG8E5wqcrHmI7LmWqHnBiK7PqKQOpvX0tEXbKULcOglXeFbkx8H_HzVyEwJZqBf0r2I_EmF5LN6uyfhxxeI/s1600/938_1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 173px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjDT8tUYV9VG5ZiP8mNy8VJxvSVtLf7GpuBhIlcAhNLf_-Z9iyZ_9Iu3P9FZG8E5wqcrHmI7LmWqHnBiK7PqKQOpvX0tEXbKULcOglXeFbkx8H_HzVyEwJZqBf0r2I_EmF5LN6uyfhxxeI/s200/938_1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5459376732355956610" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgT-E8lF8vTIST6J_2KhGElOE6tkKuT0pa80P1q-C-kSI_I-zGxVQJju9E4kwiqFTHoCG1LEJqosWjUBQBb3BUADMb9oJ3eMZZQTbu35Y7XFixyYIi3App2NrIhYM_ApcBmiN1OcPuYbE8/s1600/blog20220boiling_frog.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 176px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgT-E8lF8vTIST6J_2KhGElOE6tkKuT0pa80P1q-C-kSI_I-zGxVQJju9E4kwiqFTHoCG1LEJqosWjUBQBb3BUADMb9oJ3eMZZQTbu35Y7XFixyYIi3App2NrIhYM_ApcBmiN1OcPuYbE8/s200/blog20220boiling_frog.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5459369981712180930" /></a><br /><br /><br /> กบตัวหนึ่ง วนอยู่ในกะลาที่เชื่อว่าตัวมันเองนั้นเป็นหนึ่งเดียวที่ประเสริฐที่สุด สัตว์ตัวอื่นใดที่อยู่ร่วมกะลาเดียวกับมันจะใหญ่กว่ามันไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้ามดแดงที่อยู่ศัยในกะลานั้นด้วยแล้วโดนมันกล่อมโดยสั่งสอนอย่างฝังหัวให้นับถือเจ้ากบ อย่างเป็นเทวดา เนื่องด้วยเห็นว่ากบสามารถปิดฟ้าปิดฝนได้ จะเป็นวันหรือคืนเจ้ากบสามารถควบคุมได้ทั้งหมด เหล่ามดแดงในกะลานั้นมันยอมมอบตัวและใจให้กบจับกินเป็นอาหารและควบคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จ เพราะไอ้เจ้ากบมันคิดผิดไปว่ารูกะลาคือพระอาทิตย์และมันก็สามารถควบคุมอะไรก็ได้แค่ทำตัวให้พองปิดรูกะลานี้เสีย ทุกอย่างก็มืดมนอนธการ และถ้าเจ้ามดแดงตัวใดที่รู้ว่าบนกลางกะลาเป็นแค่รูเจ้ากบก็จับกินจนหมด โดยไม่มีมดตัวไหนรอดพ้นกะลามันไปได้ และมันก็คิดไปมันนี่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน <br /><br /> แล้ววันหนึ่งมันเป็นเวลาเที่ยงตรงพอดี มีฝูงโคผูงใหญ่ผ่านมาเพื่อเลมหญ้า แล้วโคตัวหนึ่งได้เกิดสดุดกับกะลาในนั้นพอพี มีเหตุให้กะลาใบนั้นเปิดออกมดแดงถึงกับช็อค......เพราะแสงแดดตอนกลางวันทำให้โลกโดยรอบสว่างไสวสวยงาม กว้างใหญ่นอกเหนือกว่ากะลาที่มันเคยอยู่และถูกกดขี่จากเจ้ากบ โดยเจ้ามดแดงนั้นพร้อมใจกันปรึกษาและพร้อมกันหนี เจ้ากบตัวนั้นเห็นแล้วก็กลัวจะเสียผลประโยชน์จากการที่มดเหล่านี้ไม่อยู่ในโอวาสอีกต่อไปแล้ว จึงทำการคำรามและข่มขู่ต่างๆนาๆพองตัวและจับเจ้ามดแดงกินเป็นจำนวนมาก สุดท้ายเจ้ามดแดงกลุ่มเล็กๆเหล่านั้นได้รู้ว่าถูกเจ้ากบหลอกลวง ทำให้มันทนไม่ได้อีกต่อไปกับความไม่เป็นธรรมที่มันได้รับมานาน เหล่าเจ้ามดแดงจึงตัดสินใจเข้าทำการต่อสู่กับเจ้ากบอย่างตะลุมบอน ในเวลาเดียวกัน งูและสัตว์อื่นๆได้ยินเสียงอันยิ่งใหญ่ของเจ้ากบ ก็ต่างเริ่มจับตามามองไปที่ตัวกบตัวนั้นอย่างแปลกประหลาด เพราะว่าธรรมดาแล้วสัตว์ที่อ่อนแอ อย่างกบจำเป็นต้องหลบในรูอย่างเงียบๆตามธรรมชาติถึงจะปลอดภัย แต่เนื่องด้วยอาการอยู่ในกะลามานานจึงทำให้ตัวมันคิดว่าไม่มีใครสู่มันได้ เลยถือดีอวดเก่งคิดอาจหาญ คำรามด้วยเสียที่มันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด สุดท้ายในความดุและความโลภของมัน ทำให้เหล่ามดและสัตว์ต่างๆข้างนอกกะลาโดยไม่จำกัดพันธุ์ใดเห็นความไม่เป็นธรรมจึง เข้าต่อสู้ร่วมกับมดแดงในกะลาที่เคยถูกเจ้ากบกดขี่มานานเหล่านั้น และร่วมกันเข้าทำร้ายและกัดกินกบตัวนั้นเป็นอาหารลงในที่สุด นิทาน(อีกบ)เรื่องนี้ เอาไว้อ่านให้เด็กๆ ก่อนเข้านอน และสอนให้รู้ว่าฟ้าไม่อาจกั้นด้วยมือฉันใด รูกะลาก็เป็นรูกะลาไม่ใช่พระอาทิตย์ฉันนั้น เมื่อความจริงปรากฎออกมาแล้วจำต้องปรับตัวให้ทันต่อสถานะการณ์หาทางเอาตัวรอดจะเป็นผลดี ถ้ายังไม่หยุดความโลภ ตั้งสติอะไรไม่ได้ ก็ต้องมีผลลัพธ์เป็นแบบอย่างเจ้ากบตัวนี้ล่ะน้าาาาาาา......................teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-32389259615482741542010-03-02T07:05:00.000-08:002010-03-02T07:05:17.578-08:00Daily News Online หน้าการเมือง อนุมัติงบกว่า300ล. จัดการพื้นที่อยุธยา<a href="http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=8&contentID=51778">Daily News Online หน้าการเมือง อนุมัติงบกว่า300ล. จัดการพื้นที่อยุธยา</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-51900703870473548102010-02-27T02:04:00.000-08:002010-02-27T02:05:46.940-08:00Daily News Online เสาร์สปอร์ต อาฟเตอร์เวิร์ก อาฟเตอร์เวิร์ก ไก่ย่างน้ำจิ้มซีฟู้ด<a href="http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=500&contentID=51035">Daily News Online เสาร์สปอร์ต อาฟเตอร์เวิร์ก อาฟเตอร์เวิร์ก ไก่ย่างน้ำจิ้มซีฟู้ด</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-50573928526436486832010-02-27T01:58:00.000-08:002010-02-27T01:58:21.640-08:00Daily News Online เสาร์สปอร์ต อสังหาริมทรัพย์ คิดดี ตอน ออกแบบให้สวยและประหยัด<a href="http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=51017">Daily News Online เสาร์สปอร์ต อสังหาริมทรัพย์ คิดดี ตอน ออกแบบให้สวยและประหยัด</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-50943872126414516392009-12-15T08:02:00.000-08:002009-12-15T08:57:00.979-08:00ขอให้คนไทยจงเจริญ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzKh-PWBXtxK-PPQ_CZxRf1rRoeNoIqPUv5nX2jLqTbC1cN4B5IoWW6K_xNdhmpQPNzSxsqI-ct6vpqQ_2HLPdc4yNPOQONQBMn-zqIOGZfRz6EapfgYYMIYgT_leHSmo1x20MY8gUgiE/s1600-h/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7.bmp"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 142px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjzKh-PWBXtxK-PPQ_CZxRf1rRoeNoIqPUv5nX2jLqTbC1cN4B5IoWW6K_xNdhmpQPNzSxsqI-ct6vpqQ_2HLPdc4yNPOQONQBMn-zqIOGZfRz6EapfgYYMIYgT_leHSmo1x20MY8gUgiE/s200/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7.bmp" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5415501779944986898" /></a><br /><strong>ในวาระดิถี ขึ้นปีใหม่ ให้ชาวไท ทิ้งทุกข์ สนุกสนาน ทิ้งเกลี่ยดทิ้งศัตรู ทิ้งภัยพาล <br />ขอให้สำราญ เป็นสุข สวัสดี ตลอดปี ๒๕๕๓ ด้วยกันเทอญ<br /></strong><em>ขออวยพร ให้ทุกๆ ท่าน ที่เป็นคนไท และผู้เข้าใจภาษาไท และพูดภาษาไทได้ ด้วยใจจริง</em><em><em>โดยกระผมขออวยพร ให้กันและกันเอง อย่างนี้ ก็คงไม่ผิดอะไรใช่ไหมครับ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึง<br />ความหวงใย และอาทร กันในหมู่คนไท ไม่เฉพาะคนไทในประเทศไทย อย่างเดียว ขอให้รวมไปถึง พี่น้องไทที่ ประเทศอื่นด้วย<br />เช่น ในพม่า และ ในมนฑลยูนานประเทศจีน และ เพือน รัก ชาวลาว ด้วย ในฐานะ ญาติมิตร ชิดเชื้อกันมาอย่างยาวนาน<br />ขอให้ปีใหม่นี้เป็นปีแห่งความสุขและสันติอย่างแท้จริง ขอความสมานฉันท์ และ ความเท่าเที่ยมกัน จงบังเกิดขึ้น ขอความยากแค้นใดๆของ ชาวนาชาวไร่ จงคลีคลาย ขอให้พวกที่ชอบทำนาบนหลังควาย และหลังคน ต่างรู้สำนึก และเลิกปฏิบัติเสีย ขอโอกาส ในการลืมตาอ้าปาก แก่ผู้ที่ยากไร้ จงได้รับความเท่าเทียม และมีปัญญา หาหนทางแห่งความสุขแก่ชีวิต โดยการไม่เบียดเบียนผู้อื่นเถิด</em><br />การขอเป็นอาการแห่งการหวัง แต่ถ้าหวังอย่างเดียวอย่างนี้ คงจะได้ยากหากไม่ปฏิบัติเหตุให้สมกับการที่จะได้รับผล ที่ตนปราถนา <br />กระผมจึงได้เขียนบทความเหล่านี้มา หวังได้ว่าเป็นทางสีทองส่องอำไพ คือการกระทำการใดๆ แล้ว ขอให้ท่านแนวแน่ในหนทางจักทำได้ มีสติระลึกอยู่กับตัวไป ทั้งกับใช้ปัญญาหาความจริง นี้เป็นการทำชีวิตให้คลายทุกข์ ทำให้สุขโดย ศิลปศาสตร์ โดยรูปธรรมได้ <br />ศาสตร์แห่งศิลป์ ศิลป์แห่งศาตร์ ให้นำใช้ ชีวิตนี้จะมีค่าได้เป็นอนันต์ <br />ท้ายนี้ กระผมขอส่งความสุขกับภาพ กาลเล่นกลองยาว ของเก่าของชาวไท ครับ</em>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-40542489365965049672009-11-21T08:14:00.000-08:002010-04-12T15:49:32.532-07:00กรุข่าห์ ทหารยอดนักรบ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRV24ZRoy_96Ghw3m6ZyeEguXM3u6DwBB33yp4ydmOvXlPh-eUomt2G9-jGcyt3h7y_-B7z_BKiUASgrRYf0mWSYqkn7ygteMK0Q2TD_As7DUV29kvX5iGd3rRjsrYwEtrg1Hf9UqS-Ws/s1600/RSNF2111GUR-280_456370a.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 144px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRV24ZRoy_96Ghw3m6ZyeEguXM3u6DwBB33yp4ydmOvXlPh-eUomt2G9-jGcyt3h7y_-B7z_BKiUASgrRYf0mWSYqkn7ygteMK0Q2TD_As7DUV29kvX5iGd3rRjsrYwEtrg1Hf9UqS-Ws/s200/RSNF2111GUR-280_456370a.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5459386368912585362" /></a> ทหารกรุข่าที่ประจำการในกองทัพบกอังกฤษในปัจจุบัน <br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmhgBxY-h9vyP9WiICsbT4NYhodVuZiazmWZ7G6LmVDCtDXrvD3LtISsoEjl209R56FTZu29O69mwS6kOZCd4iJRfzI_4V9ZoP3i4L0aDxPtak3-SOue4HSCnDi07dAbPBSmXlkLZ2N84/s1600/Gorakhnath_18714.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 159px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmhgBxY-h9vyP9WiICsbT4NYhodVuZiazmWZ7G6LmVDCtDXrvD3LtISsoEjl209R56FTZu29O69mwS6kOZCd4iJRfzI_4V9ZoP3i4L0aDxPtak3-SOue4HSCnDi07dAbPBSmXlkLZ2N84/s200/Gorakhnath_18714.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5406591585459764386" />พระฤาษี โกรักห์นาตท์</a> <br /> <br />กรุข่า(Grukha) หรือเรียกว่า กอรคาห์ (Gorkha) ,กรูกา(Ghurka) เป็นชื่อที่ใช้เรียก กลุ่มคนจากประเทศแถบเนปาล และ แถบตอนเหนือของประเทศอินเดีย พวกเขานั้น ได้รับสมญานามนี้ ตั้งแต่ ศตวรรษ ที่ ๘ จากเทพเจ้านักรบของฮินดู นามว่า กูรู โกรักห์นาตท์ (Guru Gorakhnath) ซึ่งท่านเป็นอาจารย์แห่งลัทธิ บุพผาลาวัลย์ Bappa Rawal กำเนิดโดย ราชกุมาร Kalbhojหรือ ราชกุมาร Shailadhish ,มีถิ่นฐานแถบ Mewar, Rajasthan (Rajputana) <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggBzcQnQspuUkzDty7aEbqv-Eivu1LF7zftPdYIgf48HEh6FSHj_AHVvOicIFWMK6kqblh-J6mB46zgdf7GUl3SjZZMWT-s87a60tiFl1hMLbLNo0KMmjNC0S8E1F5GOYwsoHP4GuQvxo/s1600/upratap.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 90px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggBzcQnQspuUkzDty7aEbqv-Eivu1LF7zftPdYIgf48HEh6FSHj_AHVvOicIFWMK6kqblh-J6mB46zgdf7GUl3SjZZMWT-s87a60tiFl1hMLbLNo0KMmjNC0S8E1F5GOYwsoHP4GuQvxo/s200/upratap.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5406593128358555602" />บุพผาราวัลย์</a><br /><br />โดยเขาเหล่านี้ได้สืบทอดลูกหลานต่อมา จาก บุพผา ลาวัลย์ ได้เคลื่อนย้าย ถิ่นฐานลงมาทาง ตะวันออก จึงได้มาพบกับ ถิ่นฐานพำนัก คือ กอร์ค่า Gorkha โดยเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นเป็นราชวงศ์เนปาลในเวลาต่อมา ในแคว้น กอรคา ห์ นี้ เป็น หนึ่งใน ๗๕ แคว้นของเนปาล <br /><br />กรุข่า เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี จากประวัติศาสตร์ของความกล้าหาญ และ แข็งแกร่ง ใน กรมทหาร กรุข่าห์ ของ กองทัพบก อินเดีย และ กองพลน้อยทหาร กรุข่าห์ ของกองทัพบก แห่ง สหราชอาณาจักร โดยทหารกุรข่า นี้ยังได้รับ สมญานาม จาก นายทหาร อังกฤษ ว่า ชนเผ่าแห่งนักรบ โดยคำคำนี้ได้รับการขนานนามจาก นายทหารอักกฤษ ช่วงสมัย อาณานิคม อังกฤษ/ อินเดีย<br /> Guru Gorakhnath ได้อธิบาย จากลักษณะ ความคิดที่เป็นธรมชาติแห่งการ ป้องกันตนเองจากภาวะสงคราม และ ความสามารถ ในการทำงานหนักได้เป็นเวลายาวนาน โดยชาวกุรข่า จะทำการต่อสู่ปะทะอย่างเหนียวแน่นในการรบ เกาะติดกับข้าศึก และมีไหวพริบทางการทหารเป็นอย่างดี ทางกองทัพอังกฤษ ได้เรียกเกณฑ์ ชาวเผ่าแห่งนักรบ เหล่านี้เข้าประจำการ ในกองทัพบก อังกฤษ /อินเดีย จากคำบอกเล่าของ หัวหน้าเสนาธิการ ของ กองทัพบกอินเดีย นายพล Marshal Sam Maneshaw กล่าวเกี่ยวกับทหาร กรุข่าว่า ( ถ้ามีใครพูดว่าเขาไม่เคยกลัวตาย ถ้าเขาผู้นี้ไม่โกหก ละก็ เขานี้แหละทหาร กรุข่า ) <br /><br />คำทางนิรุกติศาสตร์ <br />คำว่า กอร์คา Gorkha นี้ได้รับมาจากรากศัพท์ภาษา ปรากฤษ +๑ จากคำว่า โก รัคคาห์ "go rakkha" (สันสกฤษ โกรักษา gau-rakṣa, แปรว่า "cow-protector" ผู้ปกป้องโค ) และได้ถูกเรียก โดย กูรู โกรักห์นาตท์ Guru Gorakhnath, ผู้นำทางจิตวิญญาณ ของ ชนเผ่า กอร์คา โดยเป็นสมญานามสำหรับผู้ที่นับถือ <br /><br />ประวัติ <br />กรุข่า นี้มีที่มาจากลัทธิทางศาสนา พราห์ม ฮินดู ในตอนเหนือของประเทศอินเดีย ซึ่งปัจจุบันคือด้านตะวันตกของ ประเทศเนปาล กูรู โกรักห์นาตท์ ( Guru Gorkhanath ) ได้มีลูกศิษย์เป็นเจ้าชายราชบุต โดยมีตำนานกล่าวไว้ในสำนัก บุพผา ราวัลว่า กำเนิดโดย ราชกุมาร กาลโบหช (Kalbhoj)/ ราชกุมาร ชายลาดิสห์ Shailadhish ,มีถิ่นฐานแถบ เมวาร์( Mewar) โดยเป็นต้นกำเนิด ของกุรข่า และไว้กล่าวเกี่ยวกับ บรรพบุรุษ ของ ราชวงษ์เนปาลในปัจจุบันด้วย <br /> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAAwvDgtX3KGOtCWp0wgrATrrwhPNOybgHz3Q0IOcXIdEMnI9mZOShuu3V4j2AOvyFPBRZr2um6ADnYF53an2EvBo_LZoTcZ_XCxmSI6SbmDrkCqqDfyGRcN0zhYxR5Eaz6BNIZ_8NSLY/s1600/Lovett-Rajput-Regiments.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 136px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjAAwvDgtX3KGOtCWp0wgrATrrwhPNOybgHz3Q0IOcXIdEMnI9mZOShuu3V4j2AOvyFPBRZr2um6ADnYF53an2EvBo_LZoTcZ_XCxmSI6SbmDrkCqqDfyGRcN0zhYxR5Eaz6BNIZ_8NSLY/s200/Lovett-Rajput-Regiments.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5406594310105958818" />กรมทหารราชพัต หรือ ทหารรักษาพระองค์ ของ อินเดีย ปัจจุบันยังคงมีอยู่โดยผู้ที่จะมาเป็นต้องมีประวัติมาจากเชื่อสายและเคยรับราชการราชพัตมาก่อน<br /></a><br /> +๑ภาษา ปรากฤษ เป็นภาษาโบราณกลุ่มหนึ่งในอินเดียสมัยโบราณ จัดอยู่ในภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน (อินเดีย-ยุโรป)ในสาขาย่อย ภาษากลุ่มอินโด-อิเรเนียน (อินเดีย-อิหร่านคำว่า ปรากฤต ในภาษาสันสกฤต นั้น หมายถึง ธรรมชาติ ปกติ ดั้งเดิม หรือท้องถิ่น ฯลฯ นักภาษาศาสตร์จึงสันนิษฐานว่า ภาษาปรากฤต น่าจะหมายถึงภาษาที่มีวิวัฒนาการโดยธรรมชาติตามกระบวนการทางภาษา ซึ่งตรงข้ามกับภาษา สันสกฤต ที่หมายถึง ขัดเกลาแล้ว อันเป็นภาษาที่ได้รับการวางระเบียบกฎเกณฑ์โดยนักปราชญ์<br />ชาวกุรข่า ส่วนใหญ่ เป็นพวก ธากูริ/ราชพัต (รวมทั้ง คนในราชวงค์ ชาห์ และ ราชวงค์รานา ของเนปาล ) และเป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์ เชตริ และ พราห์มิน ด้วย แต่ในปัจจุบันที่ ทหารกรุข่า ส่วนใหญ่ จะมาจากเผ่า ลิมบู, ไร, กูรุง และ มาการ์ โดยพวกเขาเหล่านี้เข้าร่วมกับ กรุข่า มาตั้งแต่ ศตวรรต ที่ ๑๗ ในสมัยที่ยังมีการปกครองโดยกษัตริย์กรุข่า แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน ชาวกรุข่า ส่วนใหญ่ เป็นชาวเผ่า ธากูริ และ เชตริส ที่เป็นนายทหารกรุข่า ในประเทศเนปาล ในขณะที่กำลังทหารส่วนใหญ่จะมาจากเผ่า ลิมบู, ไร,<br /> กูรุง และ มาการ์ เหล่านี้เป็นการรวม ของเหล่านักรบ จากหลายๆ เผ่า จนเป็น หน่วยทหารกรุข่า จากการเป็นส่วนหนึ่ง ของอินเดีย ใน ศตวรรษ ที่ ๑๘ <br />ตำนานกล่าวถึง บุพผา ราวัลย์ ในสมัยเป็นเด็ก เขาได้หายตัวไป อย่างลึกลับ แต่เมื่อ เขากลับมา ในลักษณะ เทพนักรบ ในระหว่าง การล่าสัตว์ กับเพื่อนๆ ในป่า ของ ราชาสถาน โดย บุพผา ลาวัลย์ จะอยู่ข้างหลัง และคอยดูแลอย่างใกล้ชิด สำหรับการเป็นเทพแห่งสงคราม และ เมื่ออาจารย์ โกรักห์นาตท์ ได้ตื่นขึ้น จากการเข้าฌาณสมาบัต เขาพอใจในการอุทิศตน ของบุพผา ราวัลย์ อาจารย์ท่านได้ มอบ มีด กูกริ (กูหกูริ) โดยมีลักษณะ ใบมีดโค้งมน และเป็นสัญลักษณ์ ของ กรุข่า ตำนาน กล่าวต่อว่า เขาได้บอกให้บุพผา และ พวกพ้อง ว่าต่อจากนี้ไปให้เรียก ตนว่า กรุข่าหาส คือ ศิษย์ ของ อาจารย์ โกรักห์นาตท์ และ ผู้ที่มีความกล้าหาญจะเป็นที่รู้แจ้งแก่ชาวโลก อาจารย์ ยังได้สั่งสอบอบรม บุพผา ราวัลย์และ พรรคพวกกรุข่าให้หยุดยั้ง การรุกรานของ ชาวมุสลิม<br />ที่ทำการบุก อัฟกานิสถาน(ในขณะเวลานั้นยังเป็นชาติที่นับถือ ฮินดู กับ พุทธ )<br /> บุพผา ราวัลย์ บุพผา ราวัล กับ พรรคพวกได้ ทำการปลดปล่อย อัฟกานิสถาน ในเวลาต่อมา <br /> <br /> จุดกำเนิด ชื่อ แกนดาห์รา จากปัจจุบันเปลี่ยนเป็น กานดาหาร์ ก็มาจากพวกเขาเหล่านี้เช่นกันและ พรรคพวกชาวกุรข่า ได้หยุดยั้งการรุกราน จากพวกอิสลาม ในศตวรรษที่ ๘ โดยสมัยนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินเดีย และยังมีตำนานกล่าวอีกว่า บุพผา ราวัล ( คาลโบช) ได้รุกไปถึง อิร่าน อิรัก อีกด้วย <br /> ยังมีความเข้าใจผิดบางประการ เกี่ยวกับ กรุข่า โดยการได้นำชื่อ ของ แคว้น โกรคา ของเนปาล มาใช้ โดยแคว้นนี้แท้แล้วได้ก่อตั้งหลังจากที่มีชาวกรุข่า มาอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ในก่อน ปี ๑๕๐๐ พวกบุพผาราวัลย์ ได้ขยายตัวลงมาทางทิศตะวันออก และเข้าครอบครอง รัฐเล็กๆ ในปัจจุบันเป็นของเนปาล ด้วยการตั้งชื่อ โกรคา เพื่อการให้เป็นเกียรติ ของ เทพเจ้าของเขา โดยในปี ๑๗๖๙ โดยตลอดมา ได้มีการปกครอง จากกษัตริย์เรื่อยมา คือ ศรี พานช , มหารราช ดิราช พริทวิ นารายัน ชาเดฟ (๑๗๖๙- ๑๗๗๕) ราชวงศ์ โกรคา ได้ทำการปกครองพื้นที่ดังกล่าวในปรเทศเนปาลปัจจุบัน จนยกเลิกระบบกษัตริย์ในเวลาต่อมา ซึ่ง พวกเขาเหล่านี้ จะนับถือศาสนาฮินดู แม้ว่า บางตำบลจะ เป็น ลักษณะหมู่บ้านยังมีนักรบ รัชพุต และ โกรหานาตห์ เหลืออยู่<br />สงครามของชาวกรุข่า ปี (๑๘๑๔- ๑๘๑๖) ด้วยการรบระหว่าง กองทัพ จาก บริษัท อักฤษอินเดียตะวันออก) พวกอังกฤษ ประทับใจในการรบของชาวกรุข่า เป็นอย่างมาก หลังจากสถานการณ์การรบแบบคุมเชิงและไม่สามารถเอาชนะกับชาวกรุข่าห์ได้ จึงทำให้เปลี่ยนวิธีการให้เนปาลเป็นรัฐในอารักขา ของอังกฤษ ต่อมายังได้ทำการว่าจ้างนักรบชาวกรุข่า ให้เป็น นักรบรับจ้าง ในเนปาล (ในช่วงแรกยังไม่ยอมรับ นักรบรับจ้าง ณ พื้นที่แถบอัสสัม แต่หลัง จากนั้น ได้มีการจัดการตั้ง กรมทหารกรุข่าขึ้น ใน กองทัพ บริษัทอินเดียตะวันออก ด้วยการขออนุญาต จากรัฐมณตรี Shree Teen Shree Teen (3) Maharaja (Maharana) Jung Bahadur Rana โดย รานา เป็นนายกรัฐมณตรีคนแรก ซึ่งเป็นคนที่ตั้งกฎ Rana oligarchi ในเนปาล และเขายังเป็นหลานชายของ ผู้ที่เป็นที่นับถือในฐานะฮีโร่ ของชาวเนปาล และนายกรัฐมนตรี Bhimsen Thapaด้วย จุดเริ่มต้น ของ Jung Bahadur โดย การที่ พี่น้องของ ราโนดิพ ซิงห์ ได้นำการปฏิวัติสังคมเนปาลใหม่ และทำการยกเลิกทาส ,ลดบทบาทการจัดชั้นวรรณะและ จัดให้มีการศึกษาสำหรับภาคประชาชน และ อื่นๆ แต่ความฝันเหล่านี้ได้พังทลายลงจากการรัฐประหาร ปี ๑๘๘๕ โดย หลานชายของ Jung Bahadur และ Ranodip Singh (the Shumshers J.B., S.J.B. หรือ Satra( ๑๗) Family) โดยได้ทำการสังหาร Ranodip Singh และหลานชายของ Jung Bahadur ขโมยชื่อของเขาและเข้าปกครองประเทศเนปาล โดยกฎหมายของ Shumshers Rana ซึ่งได้ทำให้ประเทศเนปาลเข้าสู่ยุคมืดอีกครั้ง ลูกหลานของ Jung Bahadurและ Ranodip Singh ได้ทำการหลบหนีการรัฐประหาร ในปี ๑๘๘๕ จากประเทศเนปาล สู่ประเทศอินเดียในเวลาต่อมาteraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-65008783583341551242009-10-21T06:45:00.000-07:002009-10-21T08:32:16.501-07:00ประเทศไทยอะไรเปลี่ยนแปลง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiopOj2xFdLcwhsrFcYlIdy9_OSsaTUXsJ3F85l4_KilPCSarbJEZQopEBKCGjTwIh9-yltFn-YKQ558ouB4DP1SBJykOxZE8tKugr5gSGFMyN30ZoPyzgGg2otS4WYk94hNpf7Yqyt9W0/s1600-h/tnews_1253414841_1223.gif"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 200px; height: 124px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiopOj2xFdLcwhsrFcYlIdy9_OSsaTUXsJ3F85l4_KilPCSarbJEZQopEBKCGjTwIh9-yltFn-YKQ558ouB4DP1SBJykOxZE8tKugr5gSGFMyN30ZoPyzgGg2otS4WYk94hNpf7Yqyt9W0/s200/tnews_1253414841_1223.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5395072677759516610" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKVfeVcJgkOp3hB_SYQZvSaEvbDMNgmpy8kdDQ8sfAdYY1ZxXQuT9cJjPZJ4b3e0sCcdeCqaIOgnYEONy_fk91uZ-3kgzOEmVEd4nVNqQNZl0avCqO6pJmqTcKb_wBLjwUcgDijiTiGNU/s1600-h/saranup.gif"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 173px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKVfeVcJgkOp3hB_SYQZvSaEvbDMNgmpy8kdDQ8sfAdYY1ZxXQuT9cJjPZJ4b3e0sCcdeCqaIOgnYEONy_fk91uZ-3kgzOEmVEd4nVNqQNZl0avCqO6pJmqTcKb_wBLjwUcgDijiTiGNU/s200/saranup.gif" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5395064141692750514" /></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcFJZCKa8W6Qe3YFIhBOttRVXhj-vez9JD39J9HmoSWfioEABadSoKVJF8z2q-HyTEr_amFkV739TJ37vQdyBxwn2mWm1kDRok1IAHkpa7kg8MpGGZUahx200OABilPSD1rzoio-5-KAo/s1600-h/433px-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4_%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;width: 144px; height: 200px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcFJZCKa8W6Qe3YFIhBOttRVXhj-vez9JD39J9HmoSWfioEABadSoKVJF8z2q-HyTEr_amFkV739TJ37vQdyBxwn2mWm1kDRok1IAHkpa7kg8MpGGZUahx200OABilPSD1rzoio-5-KAo/s200/433px-%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2595%25E0%25B8%25B4_%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5395053680019357666" /> พระเจนดุริยางค์</a><br /><br />ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ ผไทย ผองไทย ทุกส่วน <br />(ประเทศไทย มีคนไทยหลายเผ่าพันธ์มาหลอมร่วม กันในแผ่นดินเดียวกัน เป็นรัฐแห่งประชาชาติ ของ ประชาชนชาวไทย ในทุกๆที่ของประเทศไทย โดยไม่จำกัดศาสนา) อยู่ดำรงค์ คงไว้ได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี (จะอยู่ได้คง เพราะจากด้วยคนไทยทั้งหลายนั้นมีความสามัคคี)<br />ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด (คนไทยเรานี้มีนิสัยอย่างหนึ่งคือไม่ชอบรุกรานใคร อยู่อย่างเรียบง่าย แต่ถ้ามีเหตุแห่งการถูกเอาเปรียบเมื่อไร ก็จะไม่ยอมจะต้องต่อสู่ให้ถึงที่สุด และในสภาวะการส่งครามก็จะไม่ครั่นคราม ต่อความตาย ) เอกราชจะไม่ให้ใคร่ข่มขี่ สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี (คนไทยชอบความมีอิสระภาพ ไม่ชอบอยู่ใต้อาณัติใคร และพร้อมที่จะยอมตายเพื่ออิสระภาพแก่หมู่เหล่าไทยนั้นได้ทุกเมื่อ) เถลิงประเทศชาติไทย ทวีมีไชย ไชโย (ได้เป็นประเทศได้โดยสมบูรณ์ ชนะทุกข์ภัยต่างๆ ได้อย่างยิ่ง เจริญยิ่งได้ดีในกาลต่อไป)<br />เนื้อร้อง หลวงสารานุประพันธ์, พ.ศ. 2482 <br />ทำนอง พระเจนดุริยางค์, พ.ศ. 2475 <br /><br />ประกาศใช้ พ.ศ. 2477 (ทำนองและเนื้อร้องเดิม)<br />พ.ศ. 2482 (เนื้อร้องปัจจุบัน) <br /><br />จาก พ.ศ.2475 มาจนถึงปัจจุบัน พ.ศ.2552 ประชาธิปไตย พร้อมเพลงชาติไทย และประชาชนคนไทย ได้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว 77 ปี ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ผ่านการแก้ไข มาหลายๆครั้ง บางครั้งแก้โดย กลุ่มคนบางกลุ่ม โดยมีการแก้ไขโดยตรงจากประชาชน ล่าสุดเมื่อ ปี พ.ศ.2540 ภายหลังได้มีการแก้ไขโดยคณะปฏิวัติอีกเป็นรัฐนูญปี พ.ศ.2550 และยังจะคงแก้ไขต่อไป ตราบใดที่ยังคงไม่ยึดเอา ประชาชนเป็นหลักสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ และคงยังรักษา ไว้ซึ่งธุรกิจ และกิจการของพวกพ้อง ตราบนั้นเรา (คนไทย)คงต้องมีรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ต้องแก้ไขไม่รู้จบเป็นแน่ จากเพลงชาติไทยที่ได้ทำการแต่งทำนองไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 และเนี้อร้องไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2482 นั้นสามารถชี้ให้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลงของชาติได้ ด้วยปัจจุบันนี้ได้มีความแตกแยกทางความคิด กันมาก หลายก๊ก หลายเหล่า และเริ่มแตกสามัคคีขึ้นเรื่อยๆ ความเป็นชาติรัฐไทย นั้นก็ย่อมเจือจางลงไป<br />จนในที่สุดจำต้องแตกหัก เพราะความแตกต่างที่ไม่สามารถ จะตกลงกันได้ จากเหตุผล หลายๆสาเหตุ และประการสำคัญ คือ ประชาชนไทย จะถูกแบ่งแยก จากการปฏิบัติที่มีสองมาตรฐาน ที่เกิดจากความไม่เป็นธรรม ของ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือจาก การปฏิบัติโดยการเลือก เหล่านี้เป็นสาเหตุอันสำคัญ ที่ทำให้ความเป็นลักษณะพวกพ้องจำต้องลดน้อยถอยลง กลายเป็นพวกเขาพวกเรามากๆยิ่งขึ้น <br />รัฐบาลจำต้องรีบดำเนินการ ให้หลอมรวม ความปรองดอง ลดการปฏิบัติ สองมาตรฐาน ส่งเสริม นโยบายภาครัฐในการพัฒนา ให้เข้าถึงและเข้าใจปัญหา ของ ประชาชนชาวไทย ส่วนใหญ่ ของประเทศ และส่วนย่อยของประเทศ ว่าเขาต้องการอะไร ไม่ใช่ว่าเขาต้องการน้ำ แต่รัฐยังแต่ดื้อดึงจะแจกแต่ผ้าห่มไปให้ หรือ ชุมชนเขาต้องการความสงบความมีมาตรฐาน เดียวกัน เขาไม่เชื่อถือภาครัฐ จะต้องแก้โดยใช้หลักรัฐศาสตร์ ไม่ใช้หลักกลไก นิติศาตร์แต่เพียงอย่างเดียว หรือจะเอาหลักความมั่นคง เข้ามาจัดการเพียงอย่างเดียว รัฐควรใช้หลักการประนีประนอม ผ่อนหนักเป็นเบา ไม่เลือกปฎิบัติ ส่งผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าทำหน้าที่ นึกถึงความเป็นคนไทยเหมือนๆกัน ต่างแต่ การนับถือศาสนา และ ความคิด แต่ก็ยังมีความเป็นคนไทย อยู่ในประเทศไทย เช่นกัน รัฐควรเคารพ กติกา ทางสังคม และเคารพในการตัดสินใจของประชาชน พวกท่านที่ทำหน้าที่ข้าราชการ หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ไม่ใช้พวกท่านจะเป็นเจ้าของประเทศแต่เพียงฝ่ายเดียว เห็นใครทำอะไรไม่เข้าตา ก็จะเขี่ยงทิ้ง เหมือนที่ทำกันมากับผู้นำของประเทศไทยในอดีตหลายๆท่าน ผู้ที่มีอำนาจในประเทศไทย ท่านจงสำเนียกด้วยว่า ที่ประเทศไทยนี้ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นของคนไทยทุกส่วน จะอยู่ได้ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่เอาด้วยเท่านั้น ฉะนั้นท่านจงสมควรระวังให้จงหนัก อย่าประมาท เพราะถ้าท่านไม่ระวังแล้ว ประเทศไทยอาจจะไม่รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยก็ได้ ใครจะไปรู้teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-46344848805636834522009-08-27T07:12:00.001-07:002009-08-27T07:12:08.406-07:00Effective partnerships vital to reinvigorating peacekeeping, says top UN official<a href=http://shar.es/Ve7K>Effective partnerships vital to reinvigorating peacekeeping, says top UN official</a><br /><br />Posted using <a href="http://sharethis.com">ShareThis</a>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-75023614008773934252009-05-18T11:25:00.000-07:002009-05-19T06:15:39.787-07:00นักล่าฝัน ที่ข้าคารวะ<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivfHHbyKPw-ALr4NqU4LkGWb191cL9hHMByDUch9pI1pAVsd1_5F4Inp57G5AB4tiVkkWr5sQjM_x84V-tTzEx-YSURHys0irIsWDfGW1frb3aCuGj_y24kj7Hth4xjdJETgPPdbNWQ-4/s1600-h/BUAKAW.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337246817151451602" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 134px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEivfHHbyKPw-ALr4NqU4LkGWb191cL9hHMByDUch9pI1pAVsd1_5F4Inp57G5AB4tiVkkWr5sQjM_x84V-tTzEx-YSURHys0irIsWDfGW1frb3aCuGj_y24kj7Hth4xjdJETgPPdbNWQ-4/s200/BUAKAW.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div>ยังมีใครอีกบ้างไหม ที่กล้าฝันและกล้าที่จะต่อสู่กับอุปสรรคของชีวิตจนสามารถไล่ตามความฝันเหล่านั้น และทำให้ฝันเหล่านั้นเป็นจริงในที่สุด แม้ว่าปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาเหล่านั้นไม่ได้เอื้อต่อความฝันของเขาเลยแม้แต่น้อย วันนี้เราขอเอาตัวอย่าง ของผู้กล้าฝัน ที่พวกเราอาจรู้จักเขาดี หรือ อาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่เรามาลองรู้จัก เขาเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีกหน่อยครับ </div><br /><br /><div>บัวขาว ป.ประมุข หรือ นาย สมบัติ บัญชาเมฆ</div><br /><div>เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 ที่บ้านสองหนอง ต.เกาะแก้ว อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ เป็นบุตรของ เล็ง บัญชาเมฆ ซึ่งประกอบอาชีพทำนา มารดา นาง ปาน บัญชาเมฆ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อครั้งเดินทางกลับ หลังจากมาส่ง บัวขาว มาอยู่ประจำที่ค่ายมวย </div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337248503761400066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 146px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDkUYAcxsAT8ADbzLXpEgw3WhixF3mLx7HnecT6YZ4J8lD9Qf0pcv3BA5VpaPbaVj24QX5z8J5Xd_uJlEnjzL2b_yxlLXNEQRaPZMmTCXgC9v7Yb7-Czf5HonzU8xUIhByTTSTLn9dreI/s200/untitled.bmp" border="0" /><br /><br /><div><span style="color:#000000;">ประวัติของบัวขาว </span></div><br /><br /><div><span style="color:#000000;">บัวขาวเกิดและเริ่มชีวิตอาชีพมวยไทย ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ที่</span><a title="จังหวัดสุรินทร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C"><span style="color:#000000;">จังหวัดสุรินทร์</span></a><span style="color:#000000;"> เข้ากรุงเทพมาสังกัดค่ายมวย </span><a class="new" title="ป. ประมุข (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B._%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%82&action=edit&redlink=1"><span style="color:#000000;">ป. ประมุข</span></a><span style="color:#000000;"> เมื่ออายุได้ 15 ปี<br />บัวขาวได้รับเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอเวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอเวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท<br />ในปีพ.ศ. 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่</span><a title="สนามมวยลุมพินี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B5"><span style="color:#000000;">สนามมวยลุมพินี</span></a><span style="color:#000000;"> ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่น<br />ปีพ.ศ. 2547 บัวขาวชนะเลิศรายการK-1 WORLD MAX 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะจอน เวน พาร์นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุยมาคิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น และในปีต่อมา บัวขาวเกือบที่จะรักษาแชมป์รายการ K-1ได้ โดยแพ้คะแนน แอนดี้ ซอเยอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา<br />ปีพ.ศ. 2549 บัวขาวเข้าชิงชนะเลิศรายการ K-1 WORLD MAX ได้ติดต่อกันเป็นปีที่3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่ชนะเลิศสองสมัย<br />ปีพ.ศ. 2550 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ K-1 WORLD MAX อีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายโดยชนะคะแนน Nieky "The Natural" Holtzken นักชกชาวฮอลแลนด์ และจะเข้าแข่งขันชิงชนะเลิศในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550</span></div>ข้อมูล<br />บัวขาว ป. ประมุข<br />จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี<br /><br /><br /><br /><div></div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337248805098712626" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 132px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhkwtqKCHkMhM8AeY84SDxImA-880QHcl-uWAVUp7MHJpZShiyOsvp3FxgMbpQeFvi7ZLXWHR57sV9FTnYwBc6Zx7HZaDaFNQBXaJof78u9C5bK3BeAuO3cDWvkSvbnoqQEnLRWyJYXuN0/s200/A6532875-1.jpg" border="0" /><br /><div align="center">ปัจจุบัน </div><br /><div><span style="color:#333333;">บัวขาว ป. ประมุข </span><span style="color:#333333;">คือ</span><a title="มวยไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="color:#333333;">นักมวยไทย</span></a><span style="color:#333333;"> ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการการต่อสู้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะใน</span><a title="ทวีปยุโรป" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9B"><span style="color:#333333;">ทวีปยุโรป</span></a><span style="color:#333333;">และ</span><a title="ประเทศญี่ปุ่น" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99"><span style="color:#333333;">ประเทศญี่ปุ่น</span></a><span style="color:#333333;"> รวมทั้ง ทวีปอเมริกาใต้ บัวขาวสังกัดค่ายมวย ป. ประมุข ส่วนสูง 174 </span><a class="mw-redirect" title="เซนติเมตร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%A3"><span style="color:#333333;">เซนติเมตร</span></a><span style="color:#333333;"> น้ำหนัก 70 </span><a title="กิโลกรัม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A1"><span style="color:#333333;">กิโลกรัม</span></a><span style="color:#333333;"> บัวขาวจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูง(หลักล้านบาท) โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ</span></div><br /><div><span style="color:#333333;">มาดูชีวิตของบัวขาวกันบ้างว่าเขามีความเป็นมาอย่างไรและอะไรเป็นแรงกระตุ้นให้เขาต่อสู่กับอุปสรรค และมีความสำเร็จในชีวิต โดยเขานั้นได้หันหลังในกับการศึกษา โดยเขาประสปความสำเร็จได้อย่างไร </span></div><br /><div><span style="color:#333333;">สังเวียนชีวิต "บัวขาว ป.ประมุข" แชมป์โลก "K-1"<br />เติบโตมาท่ามกลางดง "หมัด เท้า เข่า ศอก"<br />สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแกร่ง ร่างกายของชายเจ้าของส่วนสูง 176 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัมนั้น ล่ำสัน หน้าอก กล้ามแขน กล้ามหน้าท้อง มองเห็นเป็นลอนๆ เหลือบมองที่กำปั้น เห็นความด้านดำตรงหลังมือ ให้รู้สึกราวกับว่า หากกำหมัดแน่นแล้วกระแทกใส่หน้าใครสักคน เขาคนนั้นอาจล้มพับ ได้นอนนับดาวนับเดือนจนยากที่จะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่<br />กับชื่อ "สมบัติ บัญชาเมฆ" น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าบอกว่านี่ คือชื่อจริงของ "บัวขาว ป.ประมุข" ไม่เฉพาะแฟนมวยชาวไทยเท่านั้นที่ร้องอ๋อ หากแต่ชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก รวมถึงคนจากอีกหลากหลายมุมโลกที่ชื่นชอบแม่ไม้มวยไทย ย่อมรู้จัก กระทั่งอาจเคยได้ชื่นชมกับฝีไม้ลายมือของนักมวยไทยผู้นี้ถึงขอบเวทีมาแล้ว<br />บัวขาว คือ นักมวยไทยที่หันเหชีวิตไปชกในรายการมวย ซึ่งเป็นรายการมวยชื่อก้องของประเทศญี่ปุ่น-เป็นรายการซึ่งดัดแปลงจากมวยไทย โดยลดอาวุธบางอย่างให้อันตรายน้อยลง บัวขาวเคยคว้าแชมป์ในรายการนี้มาแล้วถึง 2 สมัย รวมถึงได้ตระเวนต่อยในต่างประเทศอยู่หลายแห่ง ทำให้ชาวต่างชาติบางคนถึงกับติดใจ ตามกลับมาเมืองไทย เพื่อร่วมฝึกซ้อมที่ค่าย "ป.ประมุข" จ.ฉะเชิงเทรา นั้นก็มีอยู่หลายราย<br />บัวขาว เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 ที่บ้านสองหนอง ต.เกาะแก้ว อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ เป็นบุตรของ เล็ง บัญชาเมฆ ซึ่งประกอบอาชีพทำนา ทำมาหากินประสาคนในแถบถิ่นนั้น ส่วนแม่-ปาน บัญชาเมฆ นั้น เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อครั้งเดินทางกลับ หลังจากมาส่งเขามาอยู่ประจำที่ค่ายมวย<br />กับชีวิตบนสังเวียนผ้าใบ...<br />บัวขาวตระเวนเปรียบมวย ตามงานวัดตั้งแต่ 8 ขวบ กระทั่งอายุได้ 15 ปี เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่เวที "หมัด-มวย" อย่างเป็นทางการ โดยการติดตาม "กำนันมุข-ประมุข โรจนตัน" เจ้าของค่าย "ป.ประมุข" มาอยู่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นนักมวยประจำค่าย ขึ้นชกในรายการมวยต่างๆ และได้แชมป์มาแล้วหลายรายการ ก่อนที่จะหันเหไปชกมวย K-1 WORLD MAX และโด่งดังเป็นพลุแตกในที่สุด<br />สำหรับเข็มขัดแชมป์ในบ้านเราที่บัวขาวเคยได้รับ คือ แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่น 126 ปอนด์, แชมป์ประเทศไทย มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์, แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นไลท์เวท 135 ปอนด์ และแชมป์มวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์<br />ส่วนมวยในรายการ K-1 WORLD MAX เกียรติประวัติที่เขาได้รับ คือ แชมป์ K-1 WORLD MAX 2004 และแชมป์ K-1 WORLD MAX 2006<br />ในวันที่พักผ่อนสบายๆ ที่ค่าย ป.ประมุข ริมแม่น้ำบางปะกง...<br />บัวขาวได้บอกเล่าถึงชีวิตที่โลดแล่นอยู่บนสังเวียนผ้าใบ ตลอดจนความเป็นมาของตัวเขา ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ จะเหินฟ้าไปชกที่ประเทศเกาหลี เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม ก็มีรายการชกยังต่างประเทศอีก และในนัดสำคัญที่สุดคือ เดือนตุลาคม ซึ่งเป็นศึก K-1 WORLD MAX 2008 และถ้าหากได้แชมป์ในครั้งนี้ เขาจะได้เป็นแชมป์มวยรายการ K-1 WORLD MAX ถึง 3 สมัย...<br />ซึ่งในโลกนี้ ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเลย!<br />อุ่นเครื่อง และฟุตเวิร์กให้พร้อม แล้วไปรู้จักกับเขา<br />- ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไร?<br />ก็เหมือนเด็กชนบททั่วไป คือ เรียนอยู่ในหมู่บ้าน เล่นกับเพื่อนเล่นเด็กๆ ทั่วไป เป็นเด็กซน ชอบไปดูการชกมวยตามงานวัดต่างๆ กระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า อยากขึ้นชกบ้าง เพราะเห็นแล้วรู้สึกว่า เท่ดี เห็นการเตรียมตัวก่อนชก มีเทรนเนอร์มานวดนักมวย ดูแลนักมวย รู้สึกว่าอบอุ่นดี ก็เลยมาเริ่มซ้อมมวยบ้าง แต่ก็เป็นการซ้อมเหมือนเด็กชนบททั่วไป คือ มีกระสอบทราย (แกลบใส่ถุงปุ๋ย) แขวนใต้ถุนบ้าน เตะ ต่อย ตามประสาเด็ก มีผู้ใหญ่แถวบ้านคอยสอนให้ ก็ธรรมดาคนไทย ที่ชอบดูมวย ไม่ได้มีหลักการอะไรหรอก<br />พออายุประมาณ 9 ขวบ คนในหมู่บ้านเขาเห็นผมซ้อมมวย เมื่อมีงานวัด มีการเปรียบมวย เขาก็เลยชวนไปเปรียบมวยด้วย ผมเองก็อยากต่อยอยู่แล้ว ก็เลยไป ทางด้านพ่อแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะค่อนข้างจะตามใจ ลูกอยากทำอะไรก็ให้ทำ<br />- เปรียบมวยครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไร?<br />ผมอยากชกมาก วันนั้นรู้สึกว่าไม่กลัว ยังไงก็จะขึ้นชกให้ได้ และก็เกือบจะไม่ได้คู่ชก เพราะว่า คนเปรียบมวย เขาไม่เคยเห็นเราชกมาก่อน ก็ไม่ค่อยมีใครอยากประกบคู่ด้วย วิธีเปรียบมวยตามต่างจังหวัดนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จ ได้คนชกในรุ่นเดียวกัน เขาก็จะเอาคนที่เป็นตัวหลักออกมายืน แล้วถามว่า ใครอยากชก ให้ก้าวออกมายืนเทียบกัน ดูว่าเหมาะสมกันมั้ย ซึ่งคนที่เคยชกมาก่อนแล้ว จะหาคู่ได้ง่ายหน่อย ส่วนคนที่ยังไม่เคยชก เขาจะไม่เคยเห็นชก จึงไม่ค่อยอยากให้นักมวยที่เป็นตัวหลักนั้นชกด้วย<br />วันนั้น มีตัวยืน แล้วก็เรียกให้คนมาเปรียบ เมื่อเขาถามว่า ใครอยากชก ผมกับพี่เลี้ยงก็มองหน้ากัน ก่อนที่ตัวเองจะก็ตัดสินใจก้าวออกไป เพราะตอนนั้น รู้สึกว่าอยากชกมากๆ เลย ครั้งนั้นก้าวออกไปเปรียบมวย 2 คน แต่คนที่เป็นตัวหลักหรือตัวยืนนั้น เขาเลือกที่จะชกกับผม เปรียบมวยในตอนเช้า พอตกเย็นก็ชกเลย ด้วยฉายา "ดำทมิฬ เกียรติหมู่ 4" ชก 3 ยก ผมชนะน็อคยก 3 จำไม่ได้แล้วว่า ชนะด้วยอาวุธใด เพราะตอนนั้นก็ขึ้นเวทีครั้งแรกด้วย ออกจะมั่วๆ หน่อย (หัวเราะ)<br />ชนะครั้งนั้น ได้เงินรางวัลมา 100 บาท เป็นเงินก้อนแรกในชีวิตที่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเยอะมาก ให้พ่อไปหมดเลย พ่อก็เอาไปสมทบกับเงินเก็บของท่าน ซื้อทีวีเครื่องใหม่<br />- ชนะครั้งนั้นแล้วเป็นอย่างไร?<br />คนในหมู่บ้านเริ่มหันมาสนับสนุน มาช่วยซ้อม ช่วยสอนให้ แต่ก็ไม่เป็นระบบเหมือนค่ายมวยใหญ่ที่ไหน ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคือฮึกเหิม อยากต่อยอีกเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเวลาหมู่บ้านในละแวกนั้นๆ ในตำบล อำเภอนั้นๆ มีงานวัด มีการชกมวย ก็ผู้ใหญ่เขาพาไปเปรียบมวยขึ้นชก ก็ตระเวนต่อยไปเรื่อยๆ 200-300 ไฟท์ได้มั้ง แพ้บ้าง ชนะบ้าง คละเคล้าปนกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็ชนะ ทำให้ระยะหลังๆ เราไม่ต้องไปเปรียบมวยให้เสียเวลาแล้ว เพราะเวลามีรายการต่อยที่ไหน เขาก็จะเชิญเราไป มีคนมาพาเราไปชกเลย<br />- ช่วงนั้นเรียนไปด้วย ชกมวยไปด้วย?<br />ครับ ก็เรียนจนกระทั่งจบชั้น ม.ต้น พอดีกับช่วงที่กำนันมุข เขาไปหานักมวยในละแวกบ้าน มาเป็นนักมวยประจำของค่าย ป.ประมุข ตอนนั้นเขาพานักมวยคนอื่นมาเป็นนักมวยประจำค่าย ไม่ใช่ผม แต่ผมเองอยากมาด้วย ก็ขอเขา เมื่อเขาอนุญาต ก็ตัดสินใจว่าจะเรียนต่อหรือจะออกมาเป็นนักมวยดี คิดหนักอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็บอกพ่อกับแม่ว่า จะเลือกเดินในเส้นทางนี้ จึงได้ติดมาเป็นนักมวยของค่ายด้วย<br />แต่ก่อนหน้านั้น ช่วงปิดเทอมก็เคยมีโอกาสได้มาเห็นค่ายมวยที่นี่แล้ว มาอยู่ซ้อมในช่วงปิดเทอม ก็ไปๆ มาๆ กระทั่ง จบ ม.3 อายุราว 15 ปี จึงมาอยู่ยาว เป็นนักมวยอย่างเต็มตัว<br />- ไม่อยากเรียนต่อแล้ว?<br />รู้ตัวเองดีว่าเป็นคนเล่นกีฬาเก่ง ครูอาจารย์ เพื่อนนักเรียนก็จะรู้ เคยมีโรงเรียนหนึ่งให้โควต้านักกีฬาไปเรียนต่อ ม.ปลาย แต่ตอนนั้นก็ได้ปรึกษากับแม่ แม่ว่า ให้เราเลือกเอง เอาอย่างใดก็ได้อย่างหนึ่ง จะเรียนหรือจะต่อยมวย เอาให้ได้ดีสักอย่าง ผมรู้ว่าตัวเองเรียนไม่ค่อยเก่ง สมองไม่ดี ก็เลยตัดสินใจมาเป็นนักมวยดีกว่า เพราะเรื่องเรียนนั้น ผมไม่ค่อยสนใจ แต่ไม่เคยเกเร หนีเรียน หนีเที่ยว ไม่เคยนะ เข้าเรียนตลอด แต่ว่า มักไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ครูสอนเลย เป็นนักเรียนหลังห้องมาตลอด<br />แน่ชัดแล้วว่าตัวเองไม่ชอบเรื่องเรียน ก็เลยตัดสินใจเป็นนักมวย<br />- ชีวิตที่ค่าย ป.ประมุข เป็นอย่างไร?<br />เริ่มแรกก็มาเรียนรู้ชีวิตที่ค่ายก่อน ยังไม่เป็นนักมวยสังกัด ก็มาซ้อมเหมือนเขา ทำเหมือนเขาทุกอย่าง แต่อาจจะไม่ทรหดเท่า ซ้อมอยู่ที่นี่ นานเข้า เห็นนักมวยดังๆ ซ้อม และชก ก็เริ่มรู้เทคนิค เริ่มรู้ว่านักมวยดังเขาทำอย่างไร จากนั้นก็เริ่มฝัน เริ่มอยากเป็นอย่างเขาบ้าง<br />ซ้อมอยู่เกือบเดือน และก็ได้ขึ้นชกครั้งแรกในสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข ที่เวทีมวยลุมพินี ปรากฏว่าแพ้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นครั้งแรกในเวทีใหญ่ของเราจริงๆ ความจริงคนที่มาเป็นนักมวยในสังกัดค่าย ต้องซ้อมเป็นปีกว่าจะได้ชก แต่ทางผู้ใหญ่เห็นว่าผมขยันซ้อม มุ่งมั่น จริงจัง จึงอยากให้ขึ้นชก โดยมองว่าจะแพ้ชนะก็ไม่เป็นไร เป็นการหาประสบการณ์<br />การฝึกซ้อมของที่นี่ ตื่นเช้าประมาณตี 5 ครึ่ง 6 โมงเช้าก็ออกวิ่งรวมระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร จากนั้นก็มาซ้อมตามระบบต่างๆ ที่จัดให้ ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น เตะกระสอบ เตะเป้า ปล้ำ ทวนเชิง เล่นกระสอบ ถีบ ต่อยแป้น ต่อยหมัด เสริมกำลังขา มีเทรนเนอร์คอยสอนให้ คือเขาจะมานั่งคุม ดูว่าเราออกอาวุธอย่างนี้ดีไหม แบบไหนสวย แบบไหนไม่สวย เขาจะคอยแก้ให้ ค่อยๆ ฝึกไปทีละนิด ซ้อมไปเรื่อยๆ 9 โมงกว่าก็เลิก ตกเย็นประมาณบ่าย 3 โมง ก็กลับมาซ้อมอีกรอบ กว่าจะเลิกก็ประมาณ 1 ทุ่ม<br />เรื่องอาหารการกินก็มีแม่ครัวมาทำให้ แต่ก็ได้ยินมาบ้างว่าบางค่ายเขาไม่ค่อยสนใจนักมวย ซื้ออาหารถุงให้กินเลย ตอนนี้ค่าย ป.ประมุข มีนักมวยในสังกัดประมาณ 5-6 คน<br />- ทำไมถึงได้ชื่อ "บัวขาว" หรือเห็นว่าผิวดำ?<br />(หัวเราะ) ก็อาจจะมีส่วนอยู่ด้วยเหมือนกัน คือ กำนันมุข เขามีชื่อให้เลือกอยู่สองชื่อคือ "ห้าห่วง" (ตอนนั้นโฆษณากระเบื้องห้าห่วงกำลังดัง) กับ "บัวขาว" ผมเลือกชื่อหลัง<br />นานแค่ไหน จึงได้ไปชกในศึก K-1 WORLD MAX ?<br />ในเมืองไทยหากนับตั้งแต่ที่มาอยู่ค่าย ป.ประมุข ตอนอายุ 15 ปี ชกประมาณ 70-80 ไฟท์ได้ ผลก็แพ้ชนะ คละเคล้ากันไป แต่ส่วนใหญ่ก็ชนะบ่อย ทำให้มีคนติดตาม กระทั่งอายุได้ 21 ปี ก็มีคนจัดรายการมวย K-1 WORLD MAX มาติดต่อให้ไปต่อยในรายการนี้ ซึ่งเป็นมวยที่มีกติกาเฉพาะ เช่น ห้ามใช้อาวุธบางจำพวก อย่างเช่น ศอก เข่า<br />จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ห้ามการใช้ศอก เข่า แต่พอเราไปน็อคคู่แข่งด้วยอาวุธพวกนี้ เขาเริ่มห้ามใช้ ห้ามไม้ตายเราเลย ยอมรับว่าเป็นอุปสรรคสำหรับนักมวยไทยพอสมควร<br />มวย K-1 WORLD MAX เป็นรายการมวยของประเทศญี่ปุ่น ปีหนึ่งจัดทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งหนึ่ง โดยเอานักมวยจากทั่วโลกมาชกกัน ผลัดเปลี่ยนกันชกไปเรื่อยๆ จากนั้นกรรมการของศึก K-1 WORLD MAX ก็จะมาดู เอานักมวย 16 คนมาประกบกัน ชกชนะก็จะเหลือ 8 คน คราวนี้จะจัดเป็นทัวร์นาเมนต์แล้ว เรียกว่าศึกชิงแชมป์ K-1 WORLD MAX เป็นมวยรุ่น 70 กิโลกรัมรุ่นเดียว ต่ำกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าน้ำหนักเกินก็ไปลดมา จะชกวันเดียวจบ จาก 8 คน เหลือ 4 คน จากนั้นก็เหลือ 2 คน ในนัดชิงชนะเลิศ ต่อยวันเดียวเลย 3 ไฟท์ ไฟท์ละ 3 ยก รวมก็ 9 ยก<br />ชกทุกครั้งผมก็จะมีน้ำหนักอยู่ประมาณ 68-69 กิโลกรัม ไม่เคยเกินนี้ ถ้าเทียบกับนักมวยต่างชาติแล้ว เขาตัวใหญ่มาก เรียกได้ว่าสะบักสะบอมมาก ได้แชมป์ครั้งแรกได้เงินรางวัล 10 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3 ล้านกว่าบาท ก็เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว คนเริ่มรู้จักบัวขาว ชาวต่างชาติเริ่มรู้จักมากขึ้น<br />- คนไทยเคยมีใครไปชก K-1 WORLD MAX มาก่อน?<br />มี 2 คน คือ สะเก็ดดาว เกียรติภูธร กับ เก้าล้าน เก้าวิชิต แต่ว่าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ไม่มีใครเคยได้แชมป์กลับมา<br />- ชกมวยนานๆ สุขภาพมีปัญหา ?<br />ก็อยู่ที่เราจะรักษาร่างกายตัวเอง สำหรับผม ก็ตรวจร่างกายทุกปี ตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนการชกในแต่ละรายการที่เราเดินทางไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะจัดงานจะขอให้เราตรวจอะไรมาบ้าง ที่ว่าชกมวยนานๆ ทำให้มึน ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะเกิดกับมวยสากลมากกว่า เพราะว่ามวยไทยนั้น ยังมีการป้องกันได้ ไม่โดนตรงๆ<br />เคยชกแล้วบาดเจ็บครั้งที่หนักสุด ก็ตอนต่อยมวยไทยที่ลุมพินี แค่แตกและเย็บ<br />- วางแผนอนาคตไว้อย่างไร?<br />ตอนนี้ยังไม่ได้วาง คิดว่าทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยไปคิดอีกที เพราะหากเราวางแผนแล้วยังไม่มีเงินทำ ก็ไม่รู้ว่าจะหวังทำไม เรื่องครอบครัวก็ยังไม่คิดจะมีตอนนี้ คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม ไม่ค่อยมีเวลา เลยยังไม่มีแฟน เรื่องสาวๆมารุมจีบนั้นไม่มี เพราะเราอยู่ในความนิยมของต่างชาติ คิดว่าสาวไทยเขาชอบหนุ่มหน้าตาแบบชาวเกาหลีมากกว่านะ (หัวเราะ)<br />ที่แน่ๆ คือ สักอายุ 30 ปีก็คงจะหยุด ส่วนจะกลับบ้านหรือจะอยู่ที่นี่ต่อก็ยังไม่ได้วางแผน ตอนนี้ก็ยังมองหาลู่ทางไปเรื่อยๆ อาจจะไปเป็นเทรนเนอร์ตามต่างประเทศ ก็มีคนทาบทามมาเหมือนกัน แต่นั่นคือความคิดสุดท้ายแล้ว<br />- คิดอย่างไรกับเรื่อง "ล้มมวย"?<br />ก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ถ้าให้ผมทำอย่างนั้น ให้ผมเลิกชกซะเลยจะดีกว่า มันเหมือนทำลายอาชีพตัวเอง อาชีพนี้ผมตั้งใจมาก เพราะเลือกเดินมาทางนี้แล้ว...<br />นี่คืองานของผมซึ่งต้องทำให้ดีที่สุด</span></div><br /><div><span style="color:#333333;"></span></div><br /><div><span style="color:#333333;">ข้อคิดจาก ประวัติคุณ บัวขาว นี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้เด็กๆไทย หรือ คนอีกทั้วโลก ที่มีความฝันโดยมีชีวิตที่เลือกไม่ได้ แต่เลือกที่จะต่อสู่กับชีวิต และหาหนทางไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ได้ โดยให้ดูชีวิตของบุคคลคนนี้เป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี ครับ อย่างพึ่งท้อ หรือ ท้อได้แต่อย่างถอยครับ </span></div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337250121497453314" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 127px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhAr8jOpTYXQMZBumBpYLI1ACbTlPFvpT7waDSn_82ZVFOyGxpBv1tThBcvxzP5Ty-tVjjGpFGksdlaZmHnMGAEiya8bxRYZpsl2TmPoUnXfNYBI04tT6S5lJXJhhvCx4dbBCLqFNep1QM/s200/A6532875-0.jpg" border="0" /><br /><div><span style="color:#333333;"><a href="http://video.mthai.com/player.php?id=8M1190704012M0">บัวขาว เส้นทางการกลับมาสู่ K-1 World Max 2006</a> - <a href="http://video.mthai.com/">ดูวิดีโอทั้งหมด กดที่นี่</a> <a href="http://video.mthai.com/search.php?page=1&key_w=%BA%D1%C7%A2%D2%C7">...ดูคลิปการชกของบัวขาว ป.ประมุข ทั้งหมด ได้ที่นี่ คลิ๊ก!!...</a><br /><br />โดย เชตวัน เตือประโคน ที่มา: นสพ.มติชน</span></div></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-29258766055953000282009-05-09T18:27:00.000-07:002009-05-20T05:29:49.861-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBzEvFIAHEXcV8yayWRCU0ydu5Ghi0xaVItMsIy9QqkpCgufiYbhA-ryWG4Ny3ZaUzeYgfepD3T34N1jtq7pEs2-VxpcDldLO9FWMm5xMN_17-hPMujmLFiA9UR-6RCwZAVPB72zikuLI/s1600-h/p6-2.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5334016856359169986" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 151px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBzEvFIAHEXcV8yayWRCU0ydu5Ghi0xaVItMsIy9QqkpCgufiYbhA-ryWG4Ny3ZaUzeYgfepD3T34N1jtq7pEs2-VxpcDldLO9FWMm5xMN_17-hPMujmLFiA9UR-6RCwZAVPB72zikuLI/s200/p6-2.gif" border="0" /></a><br /><br /><div><span style="color:#333333;"></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEVJjruch1iyf4QyPc_e2D1C4eiYxaFRpLzrc8Hi3WPIE1Pv6W500YP1Z7ievMVmYbcG18KEVqMe7t8uZSTkvGLlrsX-e9Ypo8y4_tsR0ATIFB6mmdhI4dMgeGBcOHsDMcyPqEEjXPC84/s1600-h/commu.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5334002564685851170" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 150px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgEVJjruch1iyf4QyPc_e2D1C4eiYxaFRpLzrc8Hi3WPIE1Pv6W500YP1Z7ievMVmYbcG18KEVqMe7t8uZSTkvGLlrsX-e9Ypo8y4_tsR0ATIFB6mmdhI4dMgeGBcOHsDMcyPqEEjXPC84/s200/commu.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div align="center"><strong>ลำลึกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับ หัวใจของความเสมอภาคทางสังคม</strong></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"><br /><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;">ด้วยความมุ่งมั่น ที่จะทำให้สังคมนั้นไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยมากเกินไป ชาวนาและกรรมกรผู้ยากจน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และ ถูกกดขี่ข่มเหง จากกลุ่มชนชั้นทางสังคม และการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน นำมาซึ่งความแตกแยก โดยเขาทั้งหลายมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้เสมอภาคหรือไม่แบ่งแยก หรือ มีความแตกต่างกันมากจนเกินไป และตราบใดปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข ลัทธิความเชื่อที่ต้องการความเท่าเทียมเหล่านี้จะต้องหวนกลับมาอีกครั้งดังสัญลักษณ์ของ ธงสีแดงที่ปลิวโบกสบัด เป็นสัญญาณแห่งการต่อสู่ของชนชั้นแรงงานและกรรมกร ที่อยู่ในรูป ฆ้อน และ เคียว และความแน่วแน่ที่ยังคงรอคอยคำตอบจากความล้มเหลวของระบบทุนิยมที่ยังครุกลุ่นอยู่เสมอ </span></strong></div><div align="left"> </div></div><div align="justify"><span style="color:#333333;"><strong>พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยสหาย</strong></span><a title="โฮจิมินห์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B9%8C"><span style="color:#333333;"><strong>โฮจิมินห์</strong></span></a><span style="color:#333333;"><strong> ชาวเวียดนาม ใช้</strong></span><a title="นามแฝง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%9D%E0%B8%87"><span style="color:#333333;"><strong>นามแฝง</strong></span></a><span style="color:#333333;"><strong>ว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้า</strong></span><a class="mw-redirect" title="สถานีรถไฟหัวลำโพง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%87"><span style="color:#333333;"><strong>สถานีรถไฟหัวลำโพง</strong></span></a><span style="color:#333333;"><strong> เมื่อ </strong></span><a title="20 เมษายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/20_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99"><span style="color:#333333;"><strong>20 เมษายน</strong></span></a><span style="color:#333333;"><strong> </strong></span><a title="พ.ศ. 2473" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2473"><span style="color:#333333;"><strong>พ.ศ. 2473</strong></span></a><span style="color:#333333;"><strong> โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ </strong></span><span style="color:#333333;"><strong>จนก่อตั้งเป็นรูป<span style="color:#333333;">ร่างเมื่อวันที่ </span></strong></span><a title="1 ธันวาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/1_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><strong><span style="color:#333333;">1 ธันวาคม</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> </span></strong><a title="พ.ศ. 2485" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2485"><strong><span style="color:#333333;">2485</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> หลัง</span></strong><a class="new" title="การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><strong><span style="color:#333333;">การประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> ครั้งที่ 1 ที่</span></strong><a title="จังหวัดนครสวรรค์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C"><strong><span style="color:#333333;">จังหวัดนครสวรรค์</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน</span></strong></div><br /><div align="center"><strong><span style="color:#333333;">วันเสียงปืนแตก<br />วันเสียงปืนแตก คือวันที่ </span></strong><a title="7 สิงหาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/7_%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><strong><span style="color:#333333;">7 สิงหาคม</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> </span></strong><a title="พ.ศ. 2508" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2508"><strong><span style="color:#333333;">พ.ศ. 2508</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก กองกำลังของพรรคได้เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม </span></strong><a title="จังหวัดนครพนม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%A1"><strong><span style="color:#333333;">จังหวัดนครพนม</span></strong></a><strong><span style="color:#333333;"> ทั้งนี้ได้ประกาศยุทธศาสตร์"ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง" หลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 มีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันทางรัฐสภาแทน</span></strong></div><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;">ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</span></strong></div><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;">แม้ตามกฎหมายแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ฯ จะยังไม่ใช่พรรคการเมือง เนื่องจากไม่เคยจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติแล้วต้องถือว่าเป็นพรรคการเมืองจริง และมีอุดมการณ์ทางการเมืองชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง คือดำเนินแนวทางตาม ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง</span></strong><br /><br /></div><div align="left"><strong><span style="color:#333333;">จากเหตุการณ์ทางสังคมไทยที่ผ่านมา มีการใช้กติกา แบบ สองมาตรฐาน เช่นการตุลาการภิวัฒน์ ตามด้วย การชุมนุมของคนเสี้อเหลือ และ การชุมนุมขอคนเสื้อแดง โดยการดำเนินการทางกฏหมาย ไม่ได้อยู่ในหลักการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน การที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง โดยการปฏิวัติ โดยอ้างความชอบธรรมเช่นเดิม ซึ่งเป็นการล้มกระดานหมากรุก และเขียนกฏการเล่นแบบใหม่ จนบางคนเบื่อที่จะเล่นด้วย เพราะถ้าเล่นแล้วกูจะชนะไม่ว่าแต่ถ้ากูแพ้ขึ้นมากูก็จะล้มกระดานหากฎใหม่อยู่ร้ำไป แบบไอ้ขี้แพ้ชวนตีเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้มันน่าเกลียด ชาวบ้านเขามองอยู่ดูแล้วมันแทงตาว่าไอ้ห่านี้มันโกงนี่หว่า มันจะเล่นให้เอาชนะอย่างเดียวแพ้ไม่เป็น มันลูกผู้ชายใส่ผ้าถุง คนที่เห็นบางคนเขาก็รับไม่ได้ มันจึงทะเลาะกันอยู่ไม่เลิกไม่ลาอย่างนี้ ก็เพราะการไม่เคารพ กติกา นี่เอง การเป็นขี้แพ้ ชวนตี นี้ ท้ายสุด พวกนี้จะไม่มีใครหน้าไหน เขาคบค้าสมาคมด้วย เพราะเขารู้ว่าเป็นนักเลงแบบสวมผ้าถุง โดยร้องหาความสมานฉันท์ และความปรองดอง พร้อมเป่าประกาศ ว่ากติกาใหม่มาแล้ว มาเล่นกันอีก คราวนี้กูไม่แพ้แน่ นี้เหรอจะไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม เขาคิดว่าชาวบ้านกรรมการ ชาวนาโง่ จงรู้ด้วยว่าเขาเข้าใจประชาธิปไตย ดีกว่าใครหลายคน เสียอีก เพราะตอนนี้เขารู้ว่า เขาเลือกใคร แล้ว ประเทศจะเจริญ และมีความเท่าเทียมในสังคม กว่ากัน เพราะว่าในตอนนี้การทีพวกคุณได้สร้างรอยร้าว ไว้ให้แก่สังคมไทยด้วยระบบสองมาตรฐานไปแล้วนั้น ก็เหมือนว่าได้ปลุกยักษ์แดง ที่หลับไหลใหตื่นจากพวังค์ และ พร้อมที่จะระเบิดความเกรี้ยวกราดจากความบอบช้ำที่เคยได้รับ โดยรอวันประทุในวันใดวันหนึ่งเตรียมตัวให้ดี ขอฝากว่า คนเราทำอะไรก็ได้อันนั้น ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา ขอเชิญคุณผู้ฉลาดเก็บเอาไปคิดเถอะ</span></strong></div></div><div> </div><div>***ในบล็อกความคิดนี้ ไม่ได้มีเจตนา ทำร้ายประเทศหรืออย่างไร แต่ขอมอง สังคมอีกมุมหนึ่งในแวดล้อมของชนชั้น กรรมกรและ ผู้ใช้แรงงาน อีกหลายล้านคน ทั่วประเทศ ที่เขาได้รับ สวัสดิการทางสังคม จากรัฐบาลที่ผ่านมา นี่ก็คือบทพิสูจน์ การทำงานของรัฐบาลในชุดปัจจุบันนี้ ว่าจะทำให้ประชาชนไทยทั่วไป และชนชั้นแรงงานในสังคม ยอมรับได้มากขนาดไหน เราต้องดูกันต่อไป<br /><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;"></span></strong></div><br /><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;"></span></strong></div><br /><br /><div align="left"><strong><span style="color:#333333;"></span></strong></div></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-73228523625234696342009-04-19T14:58:00.000-07:002009-12-29T06:30:06.690-08:00เมือง Aracaju และ Macieo ของ Brasil<div><br /><br /><div align="center"><strong>ชายหาดเมือง Aracaju</strong><br /><br /><br /></div><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVai5klD4yEZm-pQXFjad_pO4_H7kMlS-YxAN-u_YDgjQ6_ozD3JtTehfmQZUg5XsapIygL16oDqqj69HaTQywpkfjZRbMvcgsdC6PzOW_KdxudGlPb38tjB7yMf4cNY_zOP6hUPH4Dq0/s1600-h/IMG_1937.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5326536271373915538" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiVai5klD4yEZm-pQXFjad_pO4_H7kMlS-YxAN-u_YDgjQ6_ozD3JtTehfmQZUg5XsapIygL16oDqqj69HaTQywpkfjZRbMvcgsdC6PzOW_KdxudGlPb38tjB7yMf4cNY_zOP6hUPH4Dq0/s200/IMG_1937.JPG" border="0" /></a><br /><br /><div>ในช่วง วันที่ ๑๐ - ๑๔ เม.ย. ๕๒ ที่ผ่านมานี้ผมได้มีโอกาส ได้ไปพักผ่อนแถบเมือง ชายทะเล ประมาณ ๔ วัน โดยได้ออกเดินทาง ในวันที่ ๑๐ เม.ย.๕๒ ซึ่งเอารถยนต์ ของ สน.ผชท.ทหารฯ ยี่ห้อ Fait Palio ไปจอดที่ สน.ฯ โดยท่าน หน.ผชท. ฯ กรุณาไปส่งให้ที่สนามบิน เมือง Brasília การเดินทางในครั้งนี้ได้มีผู้เดินทางร่วมกัน จำนวน ๕ คน คือ ผม และ สุภรักษ์ ภรรยา ,ยุพิณ ,Mr. Eduardu Nicrolas Silva กับ คุณแม่ โดยเครื่อง เทคออฟ ประมาณ ๑๑๕๐ น. เดินทางประมาณ ๒ ชม. โดยถึง ท่าอากาศยานเมือง Arcaju เวลา ๑๓๕๐ พอลงเครื่อง จะพบทันที่ก็คืออากาศที่ร้อนอบอ้าว ประมาณ ๓๕ องศาเซลเซียสเรา เดินทางต่อ โดยทาง Mr.Eduardu ไปติดต่อขอเช่ารถยนต์ โดยรถยนต์ที่เช่า ตกลงเป็นเงิน ประมาณ ๕๐๐ เฮอัลบราซิล แต่ต้องจ่ายเงินประกันไว้ก่อน เป็น๑,๐๐๐ เฮอัล และเริ่ม เดินทางและหาที่พัก โดยมีคนที่ทำงานอยู่เมืองBrasília แต่กลับมาพักผ่อนที่เมืองนี้หรือบ้านพ่อแม่เขา ช่วยบอกทางที่จะไปโรงแรม ที่ได้ทำการจองล่วงหน้าทาง อินเตอร์เน็ตไว้แล้ว วันนี้เขาพักที่ ร.ร. IBIS เป็นโรงแรมขนาด ๔ ดาวของบราซิล แต่ถ้ามาเทียบบ้านเราคงแค่ ประมาณ สองดาวเท่านั้น ตอนบ่าย ได้มีโอกาส ไปชมชายทะเล ที่หาด Atalaia สามารถดูได้จากลิงค์นี้ครับ<br /><iframe width="425" height="350" frameborder="0" scrolling="no" marginheight="0" marginwidth="0" src="http://maps.google.com.br/maps?q=Brasil+mappa&ie=UTF8&hl=pt-BR&t=h&ll=-10.976331,-37.037959&spn=0.007373,0.00912&z=16&output=embed"></iframe><br /><small><a href="http://maps.google.com.br/maps?q=Brasil+mappa&ie=UTF8&hl=pt-BR&t=h&ll=-10.976331,-37.037959&spn=0.007373,0.00912&z=16&source=embed" style="color:#0000FF;text-align:left">Exibir mapa ampliado</a></small></div><div>โดยเป็นชายหาดที่สว<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpbwDtezeeYgbXdZn47P_EnNYfLLSUL54Bm9Y2U0x5TjoNfdVWdfF70BatuRrZEMrDxSieF5xgJOFXKZ0iY30A7RT5FGlV20ikzzD1xDLh9FiAfOnRtTVv7rU3MwqB4tjWAaSFbZ8XNnU/s1600-h/IMG_1950.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5326533116738398818" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpbwDtezeeYgbXdZn47P_EnNYfLLSUL54Bm9Y2U0x5TjoNfdVWdfF70BatuRrZEMrDxSieF5xgJOFXKZ0iY30A7RT5FGlV20ikzzD1xDLh9FiAfOnRtTVv7rU3MwqB4tjWAaSFbZ8XNnU/s200/IMG_1950.JPG" border="0" /></a>ยงาม ครับ เดินไปเดินมา เฮีย ดูดู่ ของเราก็ทำกุญแจ รถยนต์ หายครับ วนหากันประมาณ ชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ครับ โชคยังดีไม่มีใครเก็บไป เราเดินต่อไป จนหิว น้ำและอาหารล่ะครับ จนถึงรานอาหาร แบบกึ่งๆ บาร์เหล้า ก็เลยสั่งน้ำและ อาหารทะเลมารับประทานกัน ดูรายละเอียดจากภาพได้ครับว่ามีอะไรบ้าง พอทานอาหารที่นี่เรียบร้อยพวกเราก็เตรียม กลับโรงแรม แต่ตกลงกันว่าจะมาทานอาหารเย็น ที่นี่ต่อครับ ดูๆแล้ว ที่นี่เขาก็จัดร้านอาหาร ที่อยู่ริมทาง เป็นสัดส่วนดี และมีการทำถนน คนเดิน พร้อมไฟ สป็อตไลท์ ส่องสว่างอย่างทั่วถึงดีพอสมควร ครับ ประมาณ ๑๙๐๐ เราได้เดินทางไปทานอาหารกันอีกครั้งร้านนี้จะมีปูทะเล รูปร่างคล้ายปูอาลาสก้าแต่ตัวจะเล็กกว่าและไม่มีหนามครับ เขาเรียกว่าปู caranguejo โดยร้านอาหารร้านนี้ชื่อว่าร้าน Rei da caranguejo หรือราชาปู มีคนมาทานอาหารที่นี่มากครับ ผมลองทานปูแกะแล้วและปรุงโดยการนึ่ง รสชาติความสดของปู ก็ใช่ได้ครับหายอยากไปเลยครับ แต่สองสาว รักษ์กับ ยุพิณ เขาต้องการแบบ แกะเองก็ได้รสชาติไปอีกแบบ ครับโดยทางร้านเขาก็ยกมาเป็นหม้อเลยครับ คล้ายหม้อดินบ้านเราครับ มีปูอยู่สองตัว ก็ให้ความรู้สึกไปอีกแบบครับ ผมลองให้ ดูดู่ถามทางร้านว่ามีการเต้น Foro ไหม เขาบอกว่ามีแต่ต้อง สี่ทุ่มไปแล้วครับ ซึ่งทางพวกเราไม่อยากรอ ต้องการพักผ่อนกันวัน ที่๑๐ เม.ย.๕๒ นี้โดยกลับไป ร.ร. ที่พักก่อนเพราะพรุ่งนี้ช้าวประมาณ ๗.๐๐ น.จำต้องเดินทางโดยรถยนต์ต่อไปครับ<br /></div><br /><div></div><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6EdlMBClzrR3PbsDPxkk27uTVHQzDn-yxOpuPQIB5ILzwL1_4-YE62xBUf9GwzG_WLfPLwokZFXWjLLj6Y8COH80xfQPLqDX3OdjtBmddPUMpHHOZ_kgD6o4Gk5nX3YpUfuL4WnGAnzQ/s1600-h/IMG_1939.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337524836869404306" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6EdlMBClzrR3PbsDPxkk27uTVHQzDn-yxOpuPQIB5ILzwL1_4-YE62xBUf9GwzG_WLfPLwokZFXWjLLj6Y8COH80xfQPLqDX3OdjtBmddPUMpHHOZ_kgD6o4Gk5nX3YpUfuL4WnGAnzQ/s200/IMG_1939.JPG" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjclw1MWXeG8iOwoTLu_Haz56yYK5o-qNtPJ1mAylNrt8iWAO4BRz30KBjFnknfP_MS9-cRT9U9r2XcbpV8ZxWTexrfc6GXzlk2h-n4IaF5XWJpd7nchSZjIHu77UzFNpFihuB3GSHwMFo/s1600-h/IMG_1960.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337525466208955138" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjclw1MWXeG8iOwoTLu_Haz56yYK5o-qNtPJ1mAylNrt8iWAO4BRz30KBjFnknfP_MS9-cRT9U9r2XcbpV8ZxWTexrfc6GXzlk2h-n4IaF5XWJpd7nchSZjIHu77UzFNpFihuB3GSHwMFo/s200/IMG_1960.JPG" border="0" /></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337525160767341138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhz18PnI5VxcXsTL04bRZYoi4Z8phs25xHeOhG24pkBWY5wmIMqJ0KgSRgtnRQqVVSZMUNCmz7UrBK-9ZHRnwiMF8g_5hmwYRLHtgmDYoNKG12hsbYZCIFL3Cb49fZblLhpA297eywN4lE/s200/IMG_1970.JPG" border="0" /><br /><br /><div>๑๑ เม.ย.๕๒ เวลา ๐๗๓๐ เราทำการเช็ดเอ๊าท์ กับทางโรงแรม IBIS สนนด้วยราคา ห้องคู่คืนละ ๙๙ เฮอัลบราซิล หรือ ประมาณ ๑,๕๐๐ บาทไทยครับ เราได้เดินทางออกไปตากเมือง Aracaju หรือ อาจแปลไปได้ว่าเมือง แห่งต้น Caju หรือมะม่วงหิมมะพานต์ เราเดินทางไปทางทิศ ตะวันออก ตามเสินทาง BR101 ประมาณ ๓๕๐ กม.ครับ ระหว่างทางก็พบบ้านเรือน และหมู่บ้านตามรายทาง โดยอยู่กันแบบ กลุ่มๆ แถมยังมี บ้านดินแบบ อโดบี อีก ซึ่งบ้านดินเหล่านี้เป็นแบบลักษณะคนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และทำการประท้วงรัฐบาล เพื่อให้สิทธิในที่ดินดังกล่าว ที่ดินกว้างใหญ่ของบราซิลนี้ยังมีลักษณะการครอบครองจากคนชั้นนายทุนเงินหนา กว้านซื้อที่ดิน เป็น เอเคอร์ๆ หรือ ถ้ามองไม่ออก ผมอยากจะอธิบายว่าเป็นเจ้าของ หุบเขาทั้งลูกได้เลย กว้างมาก การทำเกษตรกรรมส่่วนใหญ่จะใช้พื้นที่เหล่านี้เลี้ยงโคเนื้อ และทำไร่ ถั่วบ้าง เท่าที่สังเกตุ พื้นที่แถวภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ของบราซิลนี้ ค่อนข้างแห้งแล้ง จะมีปัญหาเรื่องน้ำในหน้าแร้งอย่างมาก โดยชาวบ้านจำเป็นต้องเลี้ยงโค ไว้เป็นอาหารในยามหน้าแร้งไม่มีน้ำ ก็จะฆ่าโคเหล่านี้ประทังชีวิตแทน จากที่ได้สอบถาม Mr.Eduardu นั้น ก็เห็นว่าน่าจะจริง เพราะเท่าที่นั้งรถผ่านมา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สูง สลับเนินเขา จะมีลำธารบ้างก็ไม่สามารถเก็บน้ำได้มากเท่าที่ควร พอนั้งรถไปถึงเขตใกล้พื้นที่ชายฝั่งทะเล จะพบกับไร่อ้อยที่ปลูกกันมาก อาจกล่าวได้ว่าถ้าได้หลงเข้าไปในไร่อ้อยเหล่านี้คงนานกว่าจะออกมาได้ เพราะทำกันยาวไปทั้งสองข้างทาง จึงไม่น่าแปลกใจที่เขามีทรัพยากรเพียงพอ สำหรับการผลิต เอทานอน อยู่โดยไม่ต้องพึงพาจากประเทศอื่นเลย แต่ทำไม่น้ำมันและ เชื้อเพลิงเอทานอน มันขายกันแพง เหมือนกันเราได้ ? มาถึง ที่เมือง Maceio ในเวลาประมาณ ๑๕๐๐ น.จะเห็นได้ จากการผ่านเมือง ซึ่งเป็นท่าเรือ และโกดังเก็บสินค้า ของโปรตุเกส เก่า ทำให้นึกถึง ความคับคั่ง</div><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAhgSuaqi4wYE2EYjnqqNZbDzn9XnnfbjCk11MQ9CR7JaSpbRRWzb6Xs6o1MtXtQZ4yljUhOeV_nXXw-yQx8rc_FXWpzNTV663tOfPkMgMotetQ9SlY4zfP5amYA-niIP9Io072lhQx4I/s1600-h/IMG_2058.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337525932779960194" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAhgSuaqi4wYE2EYjnqqNZbDzn9XnnfbjCk11MQ9CR7JaSpbRRWzb6Xs6o1MtXtQZ4yljUhOeV_nXXw-yQx8rc_FXWpzNTV663tOfPkMgMotetQ9SlY4zfP5amYA-niIP9Io072lhQx4I/s200/IMG_2058.JPG" border="0" /></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5337527817882938370" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhm0kVtaPnse-HzD6fvw3zduGRPaMUbCQfFE2ZyXci64EuC9B87R6hyphenhyphenTP0Chce9ZCayCwBuZeG_bWrhERNufSxk7LeBCuw_QqHlzYI5B5Ck5jME4BYkqKXbr-69Kz1Grvy4ovQ3-yJKVzk/s200/IMG_2054.JPG" border="0" /><br /><br /><div>และ ความเจริญ ในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี คือเห็นภาพ ความรุ่งเรื่อง ของท่าเรือนี้ได้จาก สิ่งที่หลงเหลืออยู่ แม้ปัจจุบัน มันจะดูโทรมๆ ไปบ้างก็ตาม แต่ต่อไปอาจเป็นจุดขาย ได้อีกจุดหนึ่งก็ได้ เพราะร้านค้าและโกดังที่หลงเหลือ ทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าได้รับการพัฒนาและใส่ชีวิตให้ใหม่ก็สามารถสร้างจุดขายที่น่าสนใจได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรูปแบบ สถาปัตย์กรรมการก่อสร้าง นั้นมีความเป็นยุโรปอยู่สูงมากนั้นเอง เราได้เข้าพักที่โรงแรม ชื่อเดิม ตามเจ้าบ้านเขาวางแผนการท่องเที่ยวให้ ก็ลองดูว่าเป็นอย่างไรบ้างเท่านั้น</div><br /><br /><div>วันนี้เราได้ไปทานอาหาร ที่ร้านแห่งหนึ่งริมชายหาด ได้สั่งปลาอบใส่เครื่องเทศและ ผักดองบราซิล และ กุ้งระเบิด ซีส ซึ่งฝ่ายไทยไม่ค่อยสันทัดนัก แต่อาหารก็ถือว่าอร่อยใช่ได้ หรือ หิวมาก ก็ไม่ทราบได้<br /><br /></div></div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcg4lHOFPUxA-z0YWPR1kJFdNJ_44xtOBGtYVn_7N3lhgz0qrVBk6HhVxmnya10x-ggjVGtIxWLzyjQvn7qc1rst6_K1xEeAf14usNamqKR5Te1RFaQFLCSv6o1jWaHTroUxhvpQcYTXA/s1600-h/DSC03472.JPG"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5335300132394437954" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcg4lHOFPUxA-z0YWPR1kJFdNJ_44xtOBGtYVn_7N3lhgz0qrVBk6HhVxmnya10x-ggjVGtIxWLzyjQvn7qc1rst6_K1xEeAf14usNamqKR5Te1RFaQFLCSv6o1jWaHTroUxhvpQcYTXA/s200/DSC03472.JPG" border="0" /></a></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5335299562580183202" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_2w7ecmVnpTIGI0dxgYhPsKHewibbhZyqg7Xrn8BVPnrHe09prVUUWvfBeW8KTEn7YUj70T3czfProodABw2sUPiEcnJAZ0TAeBcHfg4DQWqIOhASTlZRftL_-tTXywL-Uub7eMP3Q2E/s200/DSC03473.JPG" border="0" /><br />ร่องเรือใบ ใส่ Snorkel ดูปลาน้ำตื้น Mr.Eduard กับ ยุพิน<br /><br />วันที่๑๒ เม.ย.๕๒ วันนี้นัดกัน ร่องเรือใบ ชมปะการัง ณ เกาะตรงหน้าโรงแรม นัดกัน ๑๑.๐๐ น. เราก็ตื่นแต่ช้าวช่วนกันไปถ่ายรูป ตึกเก่าๆในเมือง กลับมา ประมาณ๐๙๐๐ น. ดูดู่ ก็โทรมาบอกได้ว่าได้ติดต่อเรือใบได้แล้ว ราคาคนละ ๒๐ เฮอัล และ มีอาหาร ทะเลรองรับที่เกาะด้วย เราก็ไปกัน ๔ คน ส่วนแม่ นายดูดู่ไม่ชอบทะเลลึก เพราะแก่บอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น พอไปถึง ต้องเช่าหน้ากาก อีก ๕ เฮอัล เพื่อชมปะการัง พอลงไปดูแล้ว มีแต่โขดหิน สู่เมืองไทย ไม่ได้เลย ในเรื่องธุรกิจการท่องเทียว หรือ ทรัพยากรทางทะเล ก็ตาม ยังห่างชั้นประเทศไทยอยู่ว่างั้น พอไปถึง ตรงที่พักเรือ และจุดจอดเรือ เราได้สั่งอาหารเป็นปลา ย่างและกุ้งทะเล ลอฟเตอร์ มาทานกัน ก็นับว่าอร่อย และ สดใช้ได้ เสร็จ แล้วเราก็นั้งเรือกลับมาด้วยรอยยิ้ม เพราะบรรยากาศ ค่อยข้างดี แต่ก็ร้อนจนผิวไหมกันไปเลย <br /><br />วันที่ ๑๓ เม.ย.๕๒ เราได้ออกไปเที่ยว แถวนอกๆ เมือง Maceio และเข้าไปเที่ยวตามชายหายที่สวยงาม สามารถ ดูภาพได้จาก คลิป ข้างล้างนี้ครับ เป็นบริเวณ Frence Beach ครับชายหาดสวยงาม หาดทรายขาวละเอียดดี บนหาดมีบริการน้ำมะพร้าวสด จากต้นไว้บริการนักท่องเที่ยว ครับ สนนราคา ๒ เฮอัล หรือ สามสิบกว่าบาท ครับ และก็หลังจากน้ันก็แวะเที่ยวชมบรรยากาศชายทะเลแถบนี้และรับประทานอาหารกลางวัน และถึงบ่ายจึงกลับมาที่โรงแรม ครับ</div><div> </div><div></div><div>วันที่ ๑๔ เตรียมเดินทางกลับเมือง Aracaju เราเตรียมพร้อมแต่เช้าตรู่ ๐๗๓๐ ทานอาหารเช้าเช็คเอาท์และเดินทางกลับโดยรถยนต์เช่า ถึงเมือง Aracaju ประมาณเที่ยง และไปแวะชมห้างสรรพสินค้าละแวกนั้นก่อน ได้ทานอาหารกลางวันในนั้น มีร้านอาหารจีน รสชาติใช้ได้ และหลังจากนั้นผมถือโอกาสไปชมภาพยนต์ เสียเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับแนววิทยาศาสตร์ กล่าวถึง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้รับสารจากมนุษย์โลกอื่น เกี่ยวการวิบัติของโลก ที่จะเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ คือ พระอาทิตย์ที่มีอาการ แผ่รักษี แกรมม่า ผิดปกติ จนทำให้โลกไหม้เป็นจุล แต่เรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันมนุษย์ต่างดาวในแง่ของพระเจ้าผู้พิทักษ์มวลสัตว์โลก จากโลกนี้สู่โลกหน้า เหมือนกับได้ส่ง อาดัม และอีวา ที่ไปสร้างสังคม มนุษย์ในที่ใหม่โดยการช่วยเหลือจากผู้พิทักษ์ต่างดาว พระเอกของเรื่อง คือ นิโคลาสเคส ตามความคิดผมก็ถือว่าหนังสือความหมายได้ที่ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ดำเนินเรื่องไปเชื่อมโยงกันหลักทางศาสนาเป็นตัวสรุป พอจบการชมภาพยนต์โดยผมมาดูกับนายดูดู้ และ แม่ของเขาด้วย พากันพูดคุยถึงเรื่องหนัง ว่าแท้จริง มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นเป็นพระเจ้าใช่ไหม </div><div>พอเวลา ๑๔๐๐ เราทั้งหมดก็ไปคืนรถ โดยจ่ายค่ารถเช่า จ่ายไป ๖๐๐เฮฮัล หรือประมาณ หมื่นพันกว่าบาทรวมค่าประกันด้วย ตีไปคนละ ๑๓๐ เฮอัล เวลา ๑๖๐๐ และก็กลับ โดยสายการบินเดิมเครื่องเดิม แถมที่นั้งยังที่เดิมอีกด้วย ถึง บราซิเลีย ราวๆ ๑๘๐๐ น. จบเวลาการท่องเที่ยวชาดหาด ของบราซิล เมื่อ ท้าวแตะพื้นสนามบินเมืองบราซิเลีย ครับ </div><br /><br /><br /><small><a href="http://maps.google.com/maps?t=h&hl=pt-BR&ie=UTF8&ll=-9.674153,-35.716684&spn=0.045774,0.075359&z=14&source=embed" style="color:#0000FF;text-align:left">Exibir mapa ampliado</a></small>">teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-88412378981857292002009-03-13T17:58:00.000-07:002009-03-13T19:08:31.034-07:00แตกต่างแต่ไม่แตกแยก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUaMbHL16NkJIZYAMeL0KDNejCP92STZ0ucoO2MeSsFEeP2jCBLhwzCBon86VNPbCwHZ_hO4S3JfeZ3_SzCq-45hFef11KgqqOU3VlkwrrryYXrpj8oLY84u5gjYwoLIqo2atDq4JuVjA/s1600-h/024.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5312854417411979250" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 160px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUaMbHL16NkJIZYAMeL0KDNejCP92STZ0ucoO2MeSsFEeP2jCBLhwzCBon86VNPbCwHZ_hO4S3JfeZ3_SzCq-45hFef11KgqqOU3VlkwrrryYXrpj8oLY84u5gjYwoLIqo2atDq4JuVjA/s200/024.jpg" border="0" /></a><br /><div>สวัสดีครับท่าน ทั้งหลายที่อ่านบทความนี้อยู่ คงจะเริ่มชินกับความแตกแยก ทางความคิดของคนในชาติเรามาบ้างแล้ว แต่อย่าเพิ่งเบื่อน่ะ ครับ มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นครับ เราต้องพบกับความหลากหลายความคิด ทั้งซ้ายจัด และ ขวาจ้าน อีกมากครับ และคงจะยากที่จะให้เกิดสมานฉันท์เหมื่อนกับเมื่อ ๒๐ ปีก่อน คงเป็นไปได้ยากแล้วครับ ปัจจุบัน การติดต่อสื่อสารมันไปไกลกว่าที่จะตามทันแล้วครับ ความคิดของใครบางคนอาจจะมีอิทธิพลกับคนอีกหลายหมื่น หรือ หลายพันคน โดยใช้เวลาไม่มากนัก ความสามารถเข้าถึงได้อย่างไม่จำกัด ตัวตน และสถานที่ โดยสามารถยัดเยี่ยดอุดมการณ์ต่างๆ ร่วมทั้งการโจมตี ฝ่ายตรงข้ามไปพร้อมกัน ทั้งสร้างมวลชนผ่านทางตัวอักษร ไปยังที่ต่างๆที่มีผู้สนใจ และมีโอกาสที่ถูกน้อมตามได้อย่างไม่ยาก ทั้งนี้รัฐบาลได้พยายามที่จะให้เกิดความสมานฉันท์ของคนในชาติไปบ้างแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางรูปธรรมนั้น สามารถทำได้ครับ แต่จะให้เปลี่ยนนามธรรมล่ะก็เห็นที่จะป่วยการ คงต้องใช้เวลานานหรืออาจยากมาก โดยไม่เหมือนกับการ ต่อสู่แบบเดิมที่เคยทำสำเร็จมาแล้วกลับการต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยโดยสร้างภาพให้คอมมิวนิสต์หน้ากลัว เหมือนสัตว์ที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไม่มีศาสนาต้องถูกทำลายอย่างเดียวเท่านั้น โดยเป็นการสร้างภาพและปลุกระดมมวลชนได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งในสมัยนั้นการคมนาคมไปได้ไม่ทั่วถึง การติดต่อสื่อสารเป็นได้ยาก รัฐจึงคุมปัจจัยการปลุกระดมได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้าม สื่อ เป็นปัจจัยสำคัญในโลกยุคใหม่นี้ มีทั่งแบบอิสระ สากล รับรู้ได้อย่างไม่จำกัด ตรวจหาความจริงได้ไม่ยาก ถ้าใครได้สื่อมากแขนงย่อมได้รับปัจจัยเพื่อการประสบกับความสำเร็จมากขึ้นตามไปด้วย การต่อสู่ทางอุดมการณ์ทางการเมืองต่อจากนี้ จะเต็มไปด้วยสื่อหลากหลายทั้ง จริงและเท็จ ผสมกันไป หรือจะเรียกว่า มีการตีไข่ใส่สีกันตามชอบ ผู้เสพข่าวจากสื่อถ้าไม่ใช่วิจารณญาน ย่อมต้องหลงตามไปจนกู่กลับได้ยาก จนกลายเป็นหลงทางกลับไม่ได้ไปเลย ก็เป็นได้ ความขัดแย้งและแตกขั่วที่ว่านี้ เรียกว่าเป็นศึกภายในชาติ ก็อาจจะได้ โดยข้าศึกนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหนครับ ก็คนในครอบครัว ของท่านนั่นเอง ที่เสพสื่อต่างกัน ต่างความคิด จนกลายเป็นช่องว่างระหว่างคนในครอบครัว ศึกนี้ แก้ ลำบากครับ เมื่อ มันลงไปในระดับ หน่วยที่เล็กที่สุดของรัฐชาติ เสียแล้ว มีตัวอย่าง แม่และพ่อ ไม่ลงรอยกัน เมื่อพูดถึงเรื่องการเมือง ลูกกับพ่อ และ แม่ไม่ถูกกัน เพราะ ความคิดเห็นทางการเมือง อย่าวิเคราะห์ให้ไกล เลยครับ เอาในครอบครัวของท่าน ไม่ให้คิดต่างกันมากจนเกินไป เราควรใช้ความจริงและเปิดใจให้กว้างมากกว่านี้ครับ ไม่ควรจะยึดความคิดฝ่ายตนสำคัญอยู่ฝ่ายเดียว คงไปไม่รอดแน่ การแก้ปัญหานี้ต้องหาทางแก้ที่ระดับครอบวครัวครับ ความคิดนั้นจะไม่ให้คิดต่างกันไม่ได้ แต่คนต้องสามารถอยู่ร่วมกันได้ครับ นั่นคือ คนละครึ่งทางหรือทางสายกลาง ครับ ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่ดีที่สุดครับ มันก็มีบูดๆเบี้ยวๆไปบ้าง จะหาแบบที่ท่านหวังท่านคิดเป็นไปได้ยากครับ ประเทศไทยจะต้องเดินต่อไปหันมาลองรับฟังปัญหาและลองหาทางออกร่วมกันสิครับ อาจจะมีทางออกที่ดีก็ได้ครับ</div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-33549439250929291062009-02-07T11:12:00.000-08:002009-02-07T12:49:19.713-08:00Professional Sergeant<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyYbv0LxrrWDHDPSQ_KxGmfblB9Bkvj0TF4HpB4F_c2yjr0qfjKUV85SZT00SPVC6oM_t2QMc8GISqMDZ0yaztHhsKA23XAzre9ehyphenhyphenFt0mwNwW6yB8p88v0xTfMOPN2UlSH_xAL6XJi48/s1600-h/080908-F-3488S-198.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5300137103355359794" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 133px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjyYbv0LxrrWDHDPSQ_KxGmfblB9Bkvj0TF4HpB4F_c2yjr0qfjKUV85SZT00SPVC6oM_t2QMc8GISqMDZ0yaztHhsKA23XAzre9ehyphenhyphenFt0mwNwW6yB8p88v0xTfMOPN2UlSH_xAL6XJi48/s200/080908-F-3488S-198.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div>นายทหารประทวนอาชีพ<br />Professional Sergeant<br />มนุษย์ทุกคน ทุกหมู่ทุกเหล่า ที่อุบัติ เกาะกลุ่ม กัน รวมตัวกันเป็นชุมชน แว่นแคว้น แล้วนั้น ย่อมประกอบด้วย ส่วนประกอบย่อยๆ หลายๆส่วน ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ช่างฝีมือ ช่างทอผ้า ที่รวมๆเรียกกันว่า กลุ่มชนชั้นแรงงาน เหนือขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะเป็น กลุ่ม พ่อค้า แม่ค้าที่จะเอาสิ่งของ จากแหล่งต่างๆ ที่ผลิตออกมา จำหน่าย ให้ตามความต้องการในแต่ละชุมชน เรียกว่า กลุ่ม วาณิชย์ โดยเหนือขึ้นไปอีกจาก เหล่าพ่อค้าทั้งหลายทั้งปวง เมื่อ ต้องเดินทางบ่อยๆเข้า จำเป็นที่จะต้อง เรียกร้องให้มีความปลอดภัย ในชีวิตตนและทรัพย์สินของตน ที่ไปทำมาค้าขาย กับแหล่งแว่นแคว้นต่างๆ จำต้องจ่ายส่วยหรือปันของให้กับผู้คุ้มครอง จากแว่นแคว้นนั้นๆ จากกลุ่มชนที่เรียกว่า ข้าราชการ หรือ พวกที่ทำงานให้กับ หัวหน้าแคว้น ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่าง กลุ่มผู้มีอำนาจกับกลุ่มผู้มีเงินทอง และทำหน้าที่ อำนวยความสะดวก ให้กับ กลุ่มชนต่างๆ ที่จ่ายส่วยหรือ เราอาจเรียก ว่าภาษี ให้นั่นเอง ส่วนกลุ่มที่เหนือกว่า กลุ่มข้าราชการ นี้ ก็คือ หัวหน้าแคว้น จัดเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพล อำนาจ ในการตัดสินใจ หรือ ลงโทษ หรือ จัดการกับความวุ่นวาย ของ แว่นแคว้นนั้นๆ รวมทั้งการป้องกันแว่นแคว้นด้วย โดยเหล่า หัวหน้าแคว้น จัดเป็นกลุ่มชนชั้นสูง ที่ได้รับ ค่าตอบแทน จากการปันส่วนของผู้ที่มีรายได้จากแคว้นของตน หรือผู้ที่ต้องการการคุ้มครอง จะเป็นเท่าไหรนั้นก็ตามแต่จะตกลงกัน ส่วนกลุ่มชนที่สูงขึ้นจากนี้ไปอีก จะพบว่า โดยทั่วไปในชุมชนทั่วโลก จะยอม ให้ผู้ ทรงศีล หรือนักบวช ที่ตนนับถือ เป็นผู้ที่อยู่ในสถานะ ผู้ที่ควรเคารพสักการะ หรือ ผู้ที่สามารถติดต่อกับเทพเจ้าได้ ชุมชนเหล่านี้ จะมีลักษณะสัมพันธ์กับระบบ ชนชั้นปกครองมากกว่าชนชั้นอื่น กล่าวคือ ได้รับการเป็นที่ปรึกษา ในเรื่องปัญหา ต่างๆ ให้กับกษัตริย์และผู้นำในสังคม<br />จะเห็นได้ว่า ทุกกลุ่มชน ไม่ว่าจะมีขนาดเป็น เผ่าเล็กๆขนาดประชากร ๕๐ คนหรือต่ำกว่า ไปถึงแคว้นหรือประเทศที่มีประชากรขนาด ล้านคนขึ้นไป ก็จะมีลักษณะการปกครองที่คล้ายๆกัน จะต่างกัน ก็เพียงแต่เล็กน้อยเท่านั้น จึงเป็นที่มาของการศึกษา เกี่ยวกับ รัฐชาติ ขึ้น ให้ทำการศึกษาค้นคว้า จากอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ว่าควรจะเป็นรูปแบบการปกครองในลักษณะใดกัน ต่อไป นั่นเอง<br />กล่าวโดยทั่วไป ถึงอาชีพ ทุกๆ ระดับการทำงาน ของ ระบบรัฐชาติ นั้น ทุกๆหน้าที่ นั้นก็เรียกว่าเป็นอาชีพ เช่นกัน แต่ละอาชีพก็จะมีหน้าที่ ต่างกันไปตามแต่ละสังคม จะมีให้หรือจัดให้ ว่าบุคคลเหล่านี้ควรทำอะไร และได้รับอะไร เท่าไร ก็ทำกันไปตามระบบที่สังคมจัดไว้ให้ แต่ถ้ามีหน้าที่แล้ว ไม่ได้ทำตามหน้าที่หรือตามบทบาท ที่สังคมจัดให้ สังคมนั่นๆ ก็ต้องจัดการให้ผู้นั้นหมดหน้าที่ และจำเป็นต้องหาบุคคลอื่นทำหน้าที่นั้นๆ แทนกันต่อไป ( เหมือนอย่างกับ โบราณท่านว่าสวมหัวโขน ก็เล่นไปตามบทบาทว่าได้เล่นเป็นตัวอะไรเป็นตัวยักษ์ หรือลิง เป็นต้น เมื่อ ถอดหัวโขนออก ก็เป็นบุคคลธรรมดาตามเดิม หากถ้ายังยึดติดว่าตนเองยังเป็นยักษ์เป็นลิงอย่างเดิม สังคมก็จะหาว่าลิเกหลงโรงหรือไง หรือว่าบ้าไปแล้วทำนองนั้น)<br />จะกล่าวถึงอาชีพๆ หนึ่ง ที่เรียกว่า นายทหารประทวน (NON – COMMISSIONED OFFICER)หรือผู้ที่ไม่ใช่นายทหาร คือ จ่า หรือ หมู่ พวกเขาเหล่านี่จัดว่าเป็น นายทหารประเภทหนึ่งเหมือนกันครับ ที่อยู่ในระบบ ข้าราชการทหาร หรือ ผู้ที่ทำงานให้ชนชั้นปกครอง โดยได้รับ แบ่งปันส่วนภาษี เป็นสิ่งตอบแทนเป็นรายเดือน หรือรายงวด ก็แล้วแต่จะได้รับเอาตามระเบียบที่ชนชั้นปกครองได้วางเอาไว้<br />การทำงานก็ยังคงมีลักษณะเดิม ๆ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น คือ คุ้มครองหรือป้องกันภัยให้กับผู้ที่จ่ายภาษีให้แก่ตน จะมากหรือน้อย ก็ตามแต่ชนชั้นปกครอง ได้วางระเบียบไว้ให้ การจะได้มาซึ่งนายทหารประทวนในสมัยโบราณ เรียกว่า หัวพัน หรือ อีกนัยหนึ่ง ก็สามารถ คุมทหารได้พันหัว รบกับข้าศึกได้นั่นเอง โดย การรับคำสั่งจาก นายทหารระดับบน คือ หมื่น หรือ จหมื่น เดี๋ยวนี้ คือ ผู้หมวด ,ผู้กอง หรือ ร้อยโท หรือ ร้อยเอก นั่นเอง นายทหารประทวนเหล่านี้มาจากไหน เขาเหล่านี้มาจาก ชนชั้นแรงงานที่ถูกเกณฑ์เข้ามารบ แล้วสามารถแสดง ฝีมือการรบ หรือ สามารถ ต่อสู่กับ ข้าศึกได้อย่างไม่ถอย หรือ เสียขวัญ นั่นเอง หรือมีความโดดเด่นกว่าเหล่า ทหารเดินท้าวธรรมดาทั่วไป และได้ผ่านการคัดเลือก จากเหล่าชนชั้นผู้นำ ให้เข้ามาประกอบอาชีพเป็น ข้าราชการ และทำการศีกษาการทำงาน และหน้าที่ให้มีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น จนสามารถ ควบคุม เหล่าทหารได้ในระดับหนึ่ง พวกเขาจึงเป็นนายทหาร ที่รู้จักใจของเหล่าทหารราบพลเลว ได้มากที่สุดโดยมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ ทหารทหารสัญญาบัตร ที่ได้รับการศึกษา จากชนชั้นผู้นำโดยตรง และเรียนรู้ ในศาสตร์ทางการรบ ในเชิงกลยุทธ์ มากกว่า นายทหารประทวน อีกทั้ง ยังรวมอยู่ใน ระดับของผู้ปกครอง ชั้นสูงอีกด้วย จึงทำให้เขาเหล่านั้น พร้อมที่เติบโต เพื่อจะมาเป็น ผู้ปกครองในอนาคต<br />นายทหารประทวน ในประเทศไทยได้มีกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติยศทหารพุทธศักราช 2479 โดยมาตรา 9 ผู้ที่จะเป็นนายทหารประทวนนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีวิทยฐานะตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนดไว้ เว้นแต่ผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแต่งตั้งเป็นพิเศษ เป็นต้น สามารถดูรายละเอียดได้ตามลิงค์ ครับ <a href="http://www.bpp.go.th/e-book/2090.doc">www.bpp.go.th/e-book/2090.doc</a><br />โดยปัจจุบัน นายทหารประทวน ของประเทศไทย ได้ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อ สนองตอบ กับ นโยบาย ผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มความสามารถ หรือ ไม่ตอบโต้ ผบ. ถูกทุกอย่างถ้าผิดก็เงียบ แล้วก็มาระบายกับวงการสังคมอื่น (ถ้าระบายในสังคมเดียวกัน ก็จะมีสหายผู้ต้องการความดีเข้าไปรายงานหาความชอบ แล้วความซวย ก็จะมาตกอยู่ที่ ผู้ระบายนั่นเอง) จึงทำให้ระบบความคิดของเหล่าขุนนาง ทีมียศถาบรรดาศักดิ์ นั้นเอาตนเองเป็น ศูนย์กลางของจักรวาล ผลก็คือ ความหลงและความโง่ และแคบเข้าครอบงำความคิดและความดีไป จนยากที่จะไปปรึกษาหารือ หรือ คิดร่วมงานกับบุคลากรจากสังคมอื่นๆ ระบบความคิดของข้าราชการทหารไทยจึงมีความแคบ โดยถ้าเป็น ความคิดของ นายทหารประทวนด้วยแล้ว ย่อมไม่ได้รับการยอมรับเป็นอย่างยิ่ง เพราะเห็นว่าเป็นผู้น้อยและด้อยการศึกษาอย่างหนัก ต่อให้จบปริญญาเอก จากสถาบันไหนๆก็ตามทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้วก็ยังรับความคิดของนายทหารรประทวนเหล่านั้นไม่ได้อยู่ดี ปัจจุบันนายทหารประทวน ที่มีการศึกษาและมีความคิดจึงหันไปประกอบอาชีพอื่น ที่ใช้ความคิดมากกว่า หรือเปิดกว้างกว่า โดยหน่วยงานอื่นสามารถยอมรับความคิดเห็นได้มากกว่าหน่วยงานทางทหารที่ตนเคยรับราชการอยู่ ทำให้มีปรากฎการณ์ ที่เรียกว่าสมองไหล เกิดขึ้น ที่เหลืออยู่ ก็จะมีแต่ฟ่อลงๆ ไปเท่านั้น ท่านจะเห็นได้จาก จ่าๆ ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ ที่มีความคิดเปิดร้านอาหารบ้าง ทำธุรกิจ ส่วนตัวบ้าง หรือ เรียนต่อในระดับสูงขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ตัวเอง โดยจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกเลือกอีกต่อไป และ ก็จะมีพวกที่เป็นหนี้ ขี้เมา เจ้าชู้ ทำงานไปวันๆ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเหล่านี้เป็นต้น โดยพฤติกรรม เหล่านี้ผมขอเรียกพวกนี้ว่าเป็นผู้มี อาชีพทหาร ครับ จากปัญหา ที่ผู้เขียนได้เป็น นายทหารประทวน และได้สอบถาม เพื่อนๆ นายทหารประทวนด้วยกัน พบว่า การทำงานกับ รายได้ที่ได้รับนั้นสามารถหาเลี้ยงและจุนเจือครอบครัวได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น และจำเป็นต้อง กู้หนี้ยืมเงินมาใช้ โดยทั่วไปแล้ว สถานะของนายทหารประทวนนั้น จะมีรายได้ ประมาณ ๘,๐๐๐- ๒๕,๐๐๐ บาท โดยส่วนใหญ่จะมีบ้านพักให้ การรักษาพยาบาลฟรี , ค่าเล่าเรียนสำหรับ ลูก ๓ คน ถึง อนุปริญญา ซึ่งสำหรับผม ถือว่า พออยู่ได้ ถ้าจะถามว่ารายได้อยู่ในระดับชนชั้นใด ผมก็ยังถือว่าเป็นชาวรากหญ้าครับ เพราะรายได้ระดับนี้ชาตินี้ก็ไม่สามารถจะ มีความสุขในชีวิตบั้นปลายได้เลย หรือ เท่ากับชาวกรรมกรหาเช้ากินค่ำทั่วไป มนุษย์ทั้งหลายย่อมหาทางรอดให้ชีวิตของตนเสมอ นายทหารรประทวนก็เช่นเดียวกันครับ ย่อมหาหนทางที่มีรายได้สำหรับตนเองด้วยเช่นกัน จึงต้องปากกัดตีนถีบ ด้วยการที่ส่วนใหญ่สังคมระบบทหารจัดลำดับศักดิ์ ในนายทหารประทวน ให้เป็นได้แค่พลทหาร ปี ๓ ขึ้นไป คำว่าศักดิ์ศรี ความเป็นนายทหาร ย่อมลดลงไปๆ เป็นธรรมดา จนพวกเราเห็นกันจนชินตา กับจ่าขายข้าวแกง หรือไก่ย่างข้างทางหรือ ในค่ายในช่วงเลิกจากงานหรือวันหยุด และท่านเคยเห็น ผู้กอง หรือ ผู้การ ขายข้าวแกง บ้างไหม ครับ คำตอบคือไม่ครับ เป็นไปไม่ได้ เพราะนายทหาร ระดับนี้ เขามีเกียรติและศักดิ์ศรีมากพอ ที่ไม่สามารถจะไปทำอย่างนั้นได้ครับ หรือ ชาวบ้านว่ายศมันค้ำคอ หรือว่าอาชีพแบบนั้นไม่เหมาะสมเป็นข้อครหานินทาเอาได้ครับ คือเขาเหล่านี้มีความเป็นทหารอาชีพมากกว่า ทำนองนั้นครับ<br />โดยสิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามกับนโยบายที่ผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เป็นทหารในอุดมคติ ก็คือ<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv2uqc4IW5iLON9aIyDnHCBo05tT_hdkcVOd8Cwzqkp3hKWvNKGS1TArd0l_cjuLi1NSjrh1JUsJdf5edes-Glpuvr5JRcCj-4fPzmaZ5pBhaaOLl4bqIDLst_0VHGhEaNZMRRCMn3yhE/s1600-h/3450382-lg.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5300137528754557954" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 134px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgv2uqc4IW5iLON9aIyDnHCBo05tT_hdkcVOd8Cwzqkp3hKWvNKGS1TArd0l_cjuLi1NSjrh1JUsJdf5edes-Glpuvr5JRcCj-4fPzmaZ5pBhaaOLl4bqIDLst_0VHGhEaNZMRRCMn3yhE/s200/3450382-lg.gif" border="0" /></a>ทหารอาชีพ ที่ว่าสามารถตอบสนองนโยบายการทำงานได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ จะเอามาตรฐานเป็นแบบ ทหาร ชาติตะวันตก หรือ อเมริกัน ครับ ท่านไม่มามองดู ค่าตอบแทนให้มันสมควร เท่ากับทหาร ตะวันตก หรือ อเมริกันบ้างล่ะครับ โดยมีรายได้ให้มีความยุติธรรม และ ออกระเบียบให้นายทหารประทวนเลิกอาชีพพิเศษ หันมาเอาดีทางด้านการทหาร ที่ปัจจุบันควรเปิดโอกาส ให้ได้ศึกษาหาความรู้ และสร้างรายได้ไปในตัวด้วย เช่น การบรรจุพลเรือนมาเป็นเสมียนเหล่าสารบัญผมว่าไม่จำเป็น เพราะปัจจุบันใครๆก็พิมพ์ดีด ใช้คอมพิวเตอร์ได้ โดยให้หน่วยทดสอบหานายทหารประทวนในหน่วยว่าผู้ใดสามารถ สอบผ่าน และสามารถพิมพ์งานได้ก็จะได้เงินเพิ่มพิเศษอย่างเหมาะสมทุกเดือน (ปัจจุบันถ้าท่านถามว่าใครพิมพ์งานเป็นบ้าง คำตอบก็คือ ไม่เป็นครับ หมายเหตุ ไม่มีใครอยากมาพิมพ์งานให้มันยุ่งยาก เพราะไม่ได้อะไร แถมยังเรียกใช้งานไม่เป็นเวลาอีก) หรือ มีการสอบภาษาต่างประเทศ เพื่อตรวจคัด บุคคลทั้ง นายทหารสัญญาบัตรและประทวน ที่มีความรู้ในภาษาอื่นๆ โดยเพิ่มเงินเป็นในลักษณะแบบค่าปีกให้ทุกเดือนด้วย และถ้าเป็นไปได้ควรให้เงินค่าผู้เชียวชาญด้วยจึงจะเหมาะสมครับ นายทหารประทวนจะได้เพิ่มพูนความรู้จากประสป<br />การณ์และทำการศึกษาเพิ่มเติม โดยจะทำให้มีศึกษาตลอดการทำงานทั้งยังมีแรงจูงใจในรูป รายได้รายเดือนที่มากขึ้นตามความสามารถอีก เมื่อได้รายได้ที่สูงมากยิ่งขึ้นและมีสวัสดิการที่ได้มากกว่าของนายทหาร (นายทหารต้องเป็นผู้เสียสละครับจะให้ผู้มียศน้อยเสียสละนั้นไม่ควรอย่างยิ่งครับ) คราวนี้คำว่าสมองไหล หรือ คำว่าเสียจ่าดีๆไปแต่ได้นายทหารเลวๆจะไม่มีครับ เพราะกองทัพจะได้นายทหารประทวน ที่ชำนาญการยุทธ์รู้หน้าที่ปฎิบัติหน้าที่ได้ดีหรืออาจเหนือกว่าได้ โดยไม่ไปสนใจกับการสอบเลื่อนฐานะนายทหารประทวนเป็นนายทหารสัญญาบัตรอีกครับ โดยทั้งนี้ ความพร้อมของนายทหารประทวนนั้นพร้อมเสมออยู่แล้ว (เป็นผู้รับคำสั่งมานานแล้วครับ เพราะเป็นผู้รับปฏิบัติมาจนชินชา จนสมองแทบจะไม่สั่งงาน หรือไม่ได้คิดอะไรแล้ว) ก่อนที่จะสายเกินไปครับ เขาเหล่านั้นพร้อมที่จะใช้ความสามารถ ที่มีอยู่เพื่อที่จะเป็น ทหารอาชีพในอุดมคติ ของผู้บังคับบัญชา แต่จะอยู่ที่ชนชั้นผู้นำหรือนักคิดครับว่าจะให้โอกาสกับนายทหารประทวน และพลทหารแค่ไหน และประเทศไทยพร้อมที่จะก้าวเดินไปกับการเปลี่ยนแปลงของโลกนี้แล้วหรือยังครับ<br /><br />บรรณานุกรม<br />ประวัติยศ จ่าสิบเอกพิเศษ ทั่วโลก<br />http://en.wikipedia.org/wiki/Sergeant_Major<br />บทบาทของนายทหารประทวนของประเทศ สหรัฐอเมริกา ยศ จ่าสิบเอกพิเศษแห่งกองทัพบกสหรัฐอเมริกา<br />http://en.wikipedia.org/wiki/Sergeant_Major_of_the_Army<br />พระราชบัญญัติยศทหารพุทธศักราช 2479 </div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-54098719655697295512009-02-01T04:57:00.000-08:002009-02-01T06:12:06.375-08:00มาทานฟักทองกันเถอะน๊ะ<span style="color:#000000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5297814617602337234" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgUmy9utE6huY3dJ4Q65cUZAX_PkaCFZt08N3UBHnFqCbHHSXY4doDngMJDmzhheaMffcOJvsqE5Qeo5h9iRmr3AbfYvLQ2Rqd2GTjYLcdwJ0-rx64o6Tuf8UVtbhl_vtQ75s2RMWUMmr0/s200/Phugthong_5.jpg" border="0" /><br /><br /></span><div><span style="color:#000000;">ฟักทอง เป็นผักที่ทุกๆท่านรู้จักกันดี และเป็นผักพื้นบ้านของชาวไทยและชาวโลกมาช้านาน จนหาต้นตอที่มาว่าประเทศไทยได้เอามาปลูกจากแหล่งใดและใครนำมาได้ยากยิ่ง แต่เรามาลองทำความรู้จัก กับผักชนิดนี้ให้มากยิ่งขึ้นอีกดีกว่า ว่ามันอาจมีอะไรดีกว่าที่เรารู้มาอีกเยอะแยะ ครับ</span></div><br /><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><br /><div><span style="color:#000000;">ฟักทอง (Pumkins(ทอง), Kabocha (เขียว)) เป็น</span><a title="พืช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A"><span style="color:#000000;">พืช</span></a><span style="color:#000000;">ชนิดหนึ่ง มักจัดเป็นพวก</span><a title="ผัก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81"><span style="color:#000000;">ผัก</span></a><span style="color:#000000;"> เนื่องจากนิยมนำมาเป็นส่วนประกอบใน</span><a title="อาหาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3"><span style="color:#000000;">อาหาร</span></a><span style="color:#000000;"> แต่ก็ยังนำไปทำของหวานเป็น</span><a class="mw-redirect" title="อาหารว่าง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87"><span style="color:#000000;">อาหารว่าง</span></a><span style="color:#000000;">ได้ด้วย ปกติฟักทองเมื่อแก่จัดจะมีสีเหลืองอมส้ม เป็นพืชมีเถา ปลูกได้ทั่วไปทั้งในเขตร้อนและเขตหนาว ในทาง</span><a title="พฤกษศาสตร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C"><span style="color:#000000;">พฤกษศาสตร์</span></a><span style="color:#000000;"> จัดอยู่ในสกุล Cucurbita Cucurbitaceae ถือว่าเป็นพืชดั้งเดิมของโลกตะวันตก<br />ผลฟักทองมีด้วยกันหลายลักษณะ บางครั้งเป็นผลเกือบกลมก็มี แต่โดยทั่วไปเป็นรูปทรงกลมแป้น ผิวขรุขระเล็กน้อย เมื่อยังดิบเนื้อค่อนข้างแข็ง นอกจากเนื้อของผลฟักทองจะใช้เป็นอาหารแล้ว เมล็ดฟักทองก็ใช้เป็นอาหารว่างได้ด้วย ส่วนในประเทศตะวันตก นิยมนำฟักทองมาเจาะเป็นช่อง มีจมูก ตา แล้วใส่เทียน หรือดวงไฟข้างในเพื่อฉลองในวันฮาโลวีน เรียกว่า แจคโอแลนเทิน' (Jack-o'-lantern pumpkin)<br />ฟักทองมีกากใยสูง อุดมด้วยวิตามินเอและสารต่อต้านการผสมกับออกซิเจนกับเกลือแร่ และมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้ทำให้เซลล์</span><a title="มะเร็ง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87"><span style="color:#000000;">มะเร็ง</span></a><span style="color:#000000;">ให้อ่อนแอลง </span></div><br /><br /><div><u><span style="color:#000000;">นำมาจาก </span><a href="http://th.wikipedia.org/"><span style="color:#000000;">http://th.wikipedia.org/</span></a></u></div><br /><br /><div><u><span style="color:#000000;"></span></u></div><br /><br /><div><span style="color:#000000;">สรรพคุณทางสมุนไพรของฟักทอง เนื้อใช้เป็นยาระบายอย่างอ่อน เยื่อภายในผลใช้พอกแก้ฟกช้ำ แก้ปวด ส่วนเมล็ดที่เคี้ยวกันมัน ๆ นั้นใช้เป็นยาขับ</span><a class="new" title="พยาธิตัวตืด" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%94&action=edit"><span style="color:#000000;">พยาธิตัวตืด</span></a><span style="color:#000000;"> </span><a class="new" title="ขับปัสสาวะ" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0&action=edit"><span style="color:#000000;">ขับปัสสาวะ</span></a><span style="color:#000000;">และบำรุงร่างกาย รากนั้น ในตำรา</span><a class="new" title="โบราณ" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php?title=%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93&action=edit"><span style="color:#000000;">โบราณ</span></a><span style="color:#000000;">ใช้ต้มดื่มน้ำเป็น</span><a title="ยา" href="http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><span style="color:#000000;">ยา</span></a><span style="color:#000000;">แก้ไอ<br />ฟักทองมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก หากกินทั้งเปลือกก็จะได้คุณค่าเพิ่มขึ้นอีก มีเบต้า-แคโรทีน ที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เนื้อฟักทองสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมความดันโลหิต บำรุงตับ ไต รวม ๆ ก็คือ ช่วยควบคุมสมดุลในร่างกายนั้นเอง<br />จะกินของหวาน หรือของคาว ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ว่าง ๆ ก็ไม่รู้จะหาของกินเล่นเป็นอะไร ก็ลองเอาฟักทองสักชิ้นมานึ่ง พอสุกก็เอามาจิ้มน้ำตาล หรือจะกินเปล่า ๆ ยิ่งตอนนี้มีคนเอามาอบกรอบกินเล่น ง่ายและดีต่อร่างกายมากกว่าขนมถุงขนมซองไม่รู้กี่เท่า<br />ขอขอบคุณข้อมูลจาก<br />วราภรณ์ วิชญรัฐ, ไม้เลื้อยกินได้, สุรีวิยาสาส์น กรุงเทพมหานคร,2548. 120 หน้า </span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ประโยชน์ทางยา<br />ส่วนที่ใช้เป็นยา เมล็ด ราก ขั้ว น้ำมันจากเมล็ด เยื่อกลางผล ยาง<br />รสและสรรพคุณในตำรายาไทย<br />เมล็ด รสมัน ขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ บำรุงร่างกาย แก้พิษปวดบวม<br />ราก รสเย็น ต้มน้ำดื่ม บำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น ดับพิษสัตว์กัดต่อย<br />ขั้ว รสเย็น ฝนกับมะนาวผสมใยฝ้ายเผาไฟ รับประทานแก้พิษกิ้งกือกัด<br />น้ำมันจากเมล็ด รสหวานมัน รับประทานบำรุงประสาท<br />เยื่อผลกลาง รสหวานเย็น พอก แก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบ<br />ยาง แก้พิษผื่นคัน เริมและงูสวัด</span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ข้อมูลจาก </span><a href="http://www.thaigoodview.com/"><span style="color:#000000;">http://www.thaigoodview.com</span></a><span style="color:#000000;"> </span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">คุณค่าทางอาหารและยา ฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุฟอสฟอรัส ซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์ ให้ความสนใจสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ที่มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ หากกินฟักทองทั้งเปลือกจะได้ฤทธิ์ทางยา สามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งชว่ยควบคุมระดับน้ำตาล ในเส้นเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงตับ ไต นัยน์ตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป เมล็ดฟักทองมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส สังกะสีสูง สามารถป้องกันการเกิดนิ่ว และใช้เป็นยาถ่ายพยาธิตัวตืด นอกจากนี้ฟักทองยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล เหมาะสำหรับหลังคลอดบุตร ที่ขาดธาตุฟอสฟอรัส และเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย</span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ส่วนมากเรามักนำฟักทองมาบริโภคเป็นผัก โดยเฉพาะยอดอ่อน ดอกฟักทองและผลอ่อน นำไปลวก ต้ม หรือผัดน้ำมัน จิ้มน้ำพริก รับประทาน หรือนำไปแกงเลียง แกงส้ม ก็ให้รสชาติอร่อยไปอีกแบบหนึ่ง สำหรับผลแก่ปรุงเป็นอาหารคาวเช่น แกงเลียง แกงส้ม แกงอ่อม แกงใส่กะทิ ฟักทองต้มกะทิ แกงเผ็ด เป็นต้น ส่วนอาหารหวาน เช่นฟักทอง แกงบวด ฟักทองเชื่อม ฟักทองสังขยา ฟักทองนึ่งมะพร้าวเกลือ บัวลอยฟักทอง อาหารว่าง เช่น ข้าวเกรียบฟักทอง น้ำฟักทอง ส่วนเมล็ด ฟักทองนำมาอบ หรือคั่วกับเกลือ ทานเป็นของขบเคี้ยว ฟักทองมีสารอาหารบำรุงร่างกายมากมาย ที่สำคัญได้แก่ วิตามินบี วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุฟอสฟอรัส ซึ่งปัจจุบันวงการแพทย์ ให้ความสนใจสารเบต้าแคโรทีน ที่มีอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง ที่มีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ </span></div><br /><div><span style="color:#000000;">โดย Dr.วัลลภ คุณาธรรม</span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">และสาวไหนที่ชื่นชอบการขัดตัว แต่ไม่อยากเข้าสปา เพราะขี้เกียจเดินทางหรือเกี่ยงกับราคาที่แสนแพง ลองมาทำเองที่บ้านกันดีกว่า เริ่มจากนำ เนื้อฟักทองสดปอกเปลือกหั่น 1 ถ้วย นมสด 1/2 ถ้วย และน้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ปั่นส่วนผสมให้เข้ากัน นำมาทาทั่วเรือนร่าง ทิ้งไว้ 20 นาที ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นเช็ดออก เน้นถูไปมาบริเวณหยาบกร้าน ทำสัปดาห์ละครั้ง เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนได้ครับ โดยข้อมูลจาก </span><a href="http://www.komchadluek.net/"><span style="color:#000000;">http://www.komchadluek.net/</span></a></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ประโยชน์ด้านอาหาร<br />มีกากใยมากพอสมควร<br />ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก<br />ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำ<br />ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังทำให้ผิวพรรณมีน้ำมีนวล<br />เนื้อในของผลฝักทองจะมีสาร carotenes อยู่ ซึ่งสารนี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ไม่ว่า จะอยู่ในรูปของคาวหรือของหวาน เป็นอาหาร เสริมสุขภาพได้เป็นอย่างดี และบำรุงสายตาดีอีกด้วย<br />เหมาะสำหรับสตรีหลังคลอดบุตร เนื่องจากขาดธาตุฟอสฟอรัสและที่สำคัญเสี่ยงกับการเกิดหน้าท้องลาย มีฤทธิ์อุ่น ช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวด </span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ข้อควรระวัง คนที่กระเพราะร้อน (คือมีอาการกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ปัสสาวะน้อย ท้องผูก ถ้าร้อนมากขึ้นไปอีก อาจพบแผลในช่องปาก ปากเปื่อย เหงือกบวมแดง ชอบทานน้ำเย็น) ไม่ควรกินฟักทองให้มาก เพราะฟักทองจัดเป็นยาร้อน แม้คนปรกติเอง ถ้ากินครั้งเดียวมาก ๆ ก็อาจจะทำให้มี อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้ ที่มา </span><a href="http://www.vttradio.com/vtt/newsdetail.php?news_id=1395"><span style="color:#000000;">http://www.vttradio.com/vtt/newsdetail.php?news_id=1395</span></a></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div align="center"><span style="color:#000000;">ในเนื้อฟักทองสด 100 กรัม จะมีคุณค่าทางอาหาร ดังนี้<br />โปรตีน<br />1.63<br />ไขมัน<br />0.2<br />กากใย<br />0.88<br />คาร์โบไฮเดรต<br />10.1<br />วิตามินเอ<br />2,220<br />หน่วยสากล<br />พลังงาน<br />48.7<br />กิโลแคลอรี<br />ซึ่งจะเห็นว่า ฟักทองเป็นพืชผักที่มีกากใยมากพอสมควร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และไม่ทำให้อ้วน เพราะมีแคลอรีไม่สูงมาก ผู้ต้องการมีรูปร่างสวยงามควรบริโภคเป็นประจำและฟักทองยังมีวิตามินสูง ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณและสายตาอีกด้วย</span></div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;">ลักษณะทางพฤษศาสตร์ </span></div><br /><div align="left"><span style="color:#000000;">ฟักทองเป็นพืชผักที่มีลำต้นทอดและเลื้อยไปตามพื้นดิน เช่นเดียวกับแตงโม มีดอกสีเหลือง ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะแยกกันแต่อยู่ในต้นเดียวกัน ดังนั้น จึงต้องการช่วยผสมเกสร โดยวิธีธรรมชาติ เช่น ลมพัด หรือมีแมลงผสมเกสร หรือผู้ปลูกช่วยผสมเกสรเพื่อการติดผล<br />เป็นไม้เถาอ่อน มีขนสากมือ มีหนวดสำหรับเกี่ยวพันทอดไปตามพื้นดิน จึงต้องการเนื้อที่ปลูกมากกว่าพืชผักอื่นๆ เป็นพืชใบเลี้ยงคู่ที่มีอายุปีเดียว (ฤดูเดียว) เมื่อให้ผลแล้วก็ตายไป<br />มีหลายพันธุ์ทั้งแบบต้นเลื้อยและเป็นพุ่มเตี้ย พันธุ์เบามีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50-60 วัน ส่วนพันธุ์หนักมีอายุตั้งแต่หยอดเมล็ดจนติดผลอ่อน 45-60 วันและให้ผลแก่เมื่อ 120-180 วัน โดยทยอยเก็บผลได้หลายครั้งจนหมดผล</span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">พันธ์ของฟักทอง </span></div><br /><div><span style="color:#000000;">มีพันธุ์พื้นเมืองหลายพันธุ์ เรียกตามลักษณะของผล เช่น พันธุ์ข้องปลา จะมีลักษณะของผลคล้ายข้องปลา, พันธุ์ผลมะพร้าว จะมีลักษณะผลคล้ายมะพร้าว เป็นต้น<br />พันธุ์ดำ เมื่อแก่เปลือกจะมีสีเขียวเข้มอมดำ เปลือกจะขรุขระเป็นปุ่มปม คล้ายผิวคางคก (บางทีก็เรียกพันธุ์คางคก) ก้นของผลยุบเข้าไปในผล ทำให้ปอกเปลือกยาก แต่เป็นพันธุ์หนักผลโต<br />พันธุ์น้ำตก ผิวจะไม่ค่อยขรุขระนัก ก้นของผลจะนูนออกมา ทำให้ปอกเปลือกง่าย ผลเล็กกว่าพันธุ์ดำเล็กน้อย<br />พันธุ์ฟักทองนี้ จะมีชื่อเรียกแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน มีขนาดรูปร่างสีเปลือก ผล และเนื้อก็แตกต่างกันไป พันธุ์เบาให้ผลเล็ก อายุเก็บเกี่ยว 120-180 วัน โดยทยอยเก็บผลได้เรื่อยๆ 4-5 ครั้ง ต้นหนึ่งๆ จะให้ผลได้ 4-5 ผล หรือมากกว่าถึง 7 ผล กรณีท่านต้องการจะทำการปลูกไว้เป็นไม้ประจำบ้าน เพื่อเอาไว้เป็นผักคู่ครัวสามารถทำตามได้ดังนี้ครับ</span></div><br /><div><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div><span style="color:#000000;">การปลูกและดูแลรักษา </span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ดิน ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิดที่มีการปลูกผัก ชอบดินร่วนปนทรายที่มีความอุดมสมบูรณ์ดี และมีการระบายน้ำดี มีค่าความเป็นกรด-ด่างของดินระหว่าง 5.5-6.8 (ชอบดินเป็นกรดเล็กน้อย) ชอบอากาศแห้ง ดินไม่ชื้นแฉะ และน้ำไม่ขัง<br />ฤดูปลูก ส่วนมากจะเริ่มปลูกในช่วงเดือนกุมภาพันธุ์-มีนาคม หรือหลังฤดูทำนา แต่สามารถได้ดีในปลายฤดูการปลูกฟักทองคล้ายๆ กับแตงโม ควรขุดไถดินลึกประมาณ 25-30 ซม. เพราะเป็นพืชที่มีระบบรากลึก ควรตากดินทิ้งไว้ 5-7 วัน เพื่อฆ่าเชื้อโรคและวัชพืชได้บ้าง ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงสภาพดินให้ร่วนซุย และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ดิน แล้วจึงย่อยพรวนดินให้ร่วนซุยเก็บเศษวัชพืชต่างๆ ออกจากแปลงให้หมด<br />การปลูก พันธุ์ที่มีลำต้นเลื้อยและให้ผลใหญ่ ใช้เนื้อที่ปลูกมาก โดยใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร<br />พันธุ์ที่มีทรงต้นพุ่ม ให้ผลขนาดเล็ก ใช้ระยะปลูก 75x150 ซม. (พันธุ์เบา)<br />ใช้วิธีหยอดหลุมปลูก หลุมละ 3-5 เมล็ด ลึกประมาณ 3-5 ซม. แล้วกลบหลุม ถ้ามีฟางข้าวแห้ง ให้นำมาคลุมแปลงปลูก เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าดิน และเมล็ดพันธุ์จะงอกเป็นต้นกล้า ตั้งตัวได้เร็วการหยอดหลุมปลูกในแปลง จะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง และโตเร็วกว่า การย้ายกล้าจากถุงมาปลูก หากหลุมใดไม่งอก แม้จะนำมาปลูกซ่อม ก็จะเจริญไม่ทัน แต่หากว่างไว้ จะกินเนื้อที่ว่างมาก ควรปลูกซ่อม แต่จะเก็บผลได้ช้ามากฝน และต้นฤดูหนาวคือช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม และปลูกได้ดีที่สุดคือช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธุ์</span></div><br /><div><span style="color:#000000;">เมื่อต้นกล้างอกจะมีใบจริง 2-3 ใบแล้ว ควรถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์ทิ้งไป เหลือต้นที่สมบูรณ์แข็งแรง เหลือหลุมละ 2 ต้น และรดน้ำทุกวัน<br />เมื่อต้นกล้าเจริญจนไม่มีใบจริง 4 ใบ ช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตหรือปุ๋ยผัก (21-0-0) ละลายน้ำแล้วใช้รดต้นฟักทอง ต้องรดน้ำทุกวัน<br />เมื่อฟักทองเริ่มออกดอก ใส่ปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 (หรือสูตรใกล้เคียงกัน เช่น 13-13-27 หรือ 14-14-21) โรยรอบๆ ต้นแล้วรดน้ำตามและใส่ปุ๋ยอีกครั้งเมื่อฟักทองเริ่มติดผลอ่อน<br />พันธุ์ฟักทองที่เป็นพันธุ์หนักให้ผลโต อายุเก็บเกี่ยวยาวนาน ดังนั้นการใส่ปุ๋ยให้ฟักทองพันธุ์หนักควรใส่มากกว่าพันธุ์เบา<br />การรดน้ำต้องรดน้ำทุกวัน จนคะเนว่าอีก 15 วัน จะเก็บผลแก่ได้ จึงเลิกรดน้ำ</span></div><br /><div><span style="color:#000000;">ควรทำในระยะแรก เพื่อให้ดินร่วนซุยและโปร่ง พอต้นฟักทองมีใบปกคลุมดินแล้วก็ไม่ต้องกำจัดวัชพืชเมื่อดอกฟักทองกำลังบานให้เลือกดอกตัวผู้ เด็ดมาแล้วปลิดกลีบดอกออกให้หมด นำไปเคาะละอองเกสรตัวผู้ให้ตกลงบนดอกตัวเมีย ถ้าติดผลจะให้ผลอ่อน ถ้าไม่ติดผลดอกตัวเมียจะฝ่อไป วิธีนี้เรียกว่า "การต่อดอก"</span></div><br /><br /><span style="color:#000000;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5297821621230979666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 127px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEggb6sngwRyzJRmwA9J03xt4AFziTaKM3eP6vp7XV86WpXCSB6eZfeOHIE5xoLAMdKudlfBt9GtbvHPAkKWqCkMDkOVr3BX1ZUYQvvSYv_AqmdHB9MNAEmwkORbDhyphenhyphenIsOTpntU8SD6VWYM/s200/pk7.jpg" border="0" />ฟักทองเป็นพืชผักที่แมลงไม่ค่อยชอบทำลายเมื่อผลแก่เก็บเกี่ยวไว้เลยโดยสังเกตสีเปลือก สีจะกลมกลืนเป็นสีเดียวกัน ไม่แตกต่างกันมากนักดูนวลขึ้นเต็มทั้งผล คือมีนวลขึ้นตั้งแต่ขั้วไปจนตลอดก้นผล แสดงว่าแก่จัดการเก็บควรเหลือขั้วติดไว้ด้วยสักพอประมาณเพื่อช่วยให้เก็บรักษาได้นานขึ้นสามารถเก็บผลไว้รอขาย หรือบริโภคได้นานๆ โดยไม่ต้องใส่ตู้เย็น<br />จะทยอยเก็บผลได้ 5-6 ครั้ง เก็บได้เรื่อยๆ ถ้าปลูกเดือนกุมภาพันธ์จะเก็บผลได้ในเดือนมิถุนายน (พันธุ์หนัก) ทยอยเก็บไปได้เรื่อยๆ จนเดือนกรกฎาคม ต้นหนึ่งถึง 5-7 ผล 1 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 1-1.5 ตัน ถ้าดูแลรักษาใส่ปุ๋ยดีจะให้ถึง 2 ตัน (น้ำหนักสด) ถ้าพันธุ์เบา ปลูกได้ 50-60 วัน ก็เก็บผลได้<br />การเกิดโรค<br />1. โรคเถาเหี่ยว (เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)<br />ลักษณะคือใบในเถาจะเหี่ยวลงทีละใบ เมื่อเหี่ยวจากปลายเถามาโคนเถาแล้ว จะเหี่ยวพร้อมกันหมดทั้งต้น ถ้าเอามีดเฉือนเถาที่เหี่ยวดูตามความยาวจะเห็นว่า กลางลำต้นในเถาฉ่ำน้ำมากกว่าปกติ เชื้อแบคทีเรียนี้จะอาศัยอยู่ในตัวแมลงเต่าแตง เมื่อแมลงเต่ามากัดกินใบ จะนำเชื้อนี้เข้าสู่ต้นฟักทองและเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว<br />การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีเซพวิน 85 อัตรา 20-30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร (ห้ามใช้เกินจะทำให้ใบใหม้) ฉีดพ่นแมลงเต่าที่เป็นพาหะนำโรคเถาเหี่ยว โดยฉีดพ่นเมื่อต้นกล้าแข็งแรง พ่นทุก 5-7 วัน จนฟักทองเริ่มทอดยอด<br />2. เพลี้ยไฟ<br />เป็นแมลงขนาดเล็กมาก ตัวอ่อนจะมีสีแสด ตัวแก่จะเป็นสีดำตัวขนาดเท่าปลายเข็มจะดูดน้ำเลี้ยงที่ยอดอ่อนและใต้ใบอ่อน ทำให้ยอดหดสั้นปล้องถี่ ยอดชูตั้งขึ้น หรือเรียกว่า โรคยอดตั้ง (ไอ้โต้ง) ถ้าพึ่งเริ่มเป็นใหม่ๆ แล้วมีฝนตกมาหรือให้น้ำทั่วถึงเพลี้ยไฟจะหายไป<br /><br /><br /><br />การป้องกันทางธรรมชาติ<br />1. ปลูกมะระล้อมไว้สัก 2 ชั้น แล้วจึงปลูกฟักทอง เพราะมะระจะต้านทานเพลี้ยไฟได้ดี หรือปลูกมะระแซมในแปลงที่ปลูกฟักทอง<br />2. เพลี้ยไฟชอบระบาดในฤดูแล้ง ถ้ามีฝนมาจะหายไป เมื่อเพลี้ยไฟเข้าทำลายใช้แลนเนท หรือไรเนต หรือพอสซ์ ฉีดพ่นทุก 5-7 วัน ถ้าระบาดมากฉีดพ่น 3-5 วัน โดยงดพ่นก่อนเก็บเกี่ยว 15 วัน<br />ข้อมูลจาก ถวัลย์ นวลักษณกวี ประพันธ์ </span><a href="http://www.doae.go.th/library/html/detail/pumpkin/pumpkin2.htm"><span style="color:#000000;">http://www.doae.go.th/library/html/detail/pumpkin/pumpkin2.htm</span></a><span style="color:#000000;"><br /><br />ราคาการจำหน่ายฟักทองในปัจจุบัน<br />ราคา กก.ละ 15 -20 บาท ขายปลีก ขายส่ง อยู่ที่ กก.ละ 10-12 บาทครับ<br />สรุปแล้วเห็นประโยชน์ของผักชนิดนี้แล้วนะครับใครมีที่มีทาง ไม่ได้ทำอะไรก็ลองมาปลูกฟักทองดูเป็นงานอดิเรกครับ แบบเปลี่ยนLook เป็นเกษตรกรดูบ้างก็ได้น๊ะครับเพราะว่าฟักทองปลูกไม่ยาก ครับและท่านสามารถปลูกไว้เล่นที่สวนหลังบ้านไว้เพลินๆได้อีกด้วย และเป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางอาหารสูง แล้วยังเป็นยารักษาโรคได้อีกด้วย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเบาหวานและมะเร็ง ครับ<br />สมควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง โดยไม่ต้องไปหาอาหารสุขภาพราคาแพงที่ไหนมาทานให้มากเรื่อง และเป็นการประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริโภค ได้มากครับ เราท่านทั้งหลายควรหันมาบริโภคฟักทอง กันให้มากขึ้นด้วยเถอะครับ ถ้าได้วันละมื้อ ได้ยิ่งดีครับ เพราะฟักทองสามารถทำเป็นอาหารได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งอาหารหลัก อาหารเสริม ของขบเคี้ยว ขนม แล้วแต่จะทำกันครับ แค่ต้มใส่เกลือทานกับ นมข้นหวาน ก็อร่อยไม่หยอกแล้วครับ แต่ต้องทานทั้งเปลือกน๊ะครับ จะได้รับคุณค่าทางอาหารสูงขึ้นอีกครับ<br />หวังว่าท่านผู้อ่านทั้งหลายคงหาฟักทองมาทานกันให้มากครับ จะได้มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อได้ต่อสู้และดำเนินชีวิตด้วยสติมากยิ่งขึ้นและเลือกทานอาหารให้มีประโยชน์ต่อรางกายครับ ก็เชื่อได้ว่าท่านไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตแล้ว และไดเชื่อว่า มีศิลปะในการดำรงแห่งชีวิตครับ คืออยู่อย่างมีความสุขในโลกนั่นเองครับ</span>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-42316924900743012622009-01-02T08:15:00.000-08:002009-01-30T13:39:15.032-08:00ลืมแล้วน้ำมันแพง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqRsR7NpTw5sw0n3yPCIkZZB3_r7JvsF92p3iZ7sAIf8mmSPAoFrmJY4SYMpfVvHi66NIX_XK_LHakhHodpCSLvbpY-eS-VkD2ZXn_5cXeMsz-SsLTUDXIAth7yE5u01m5yaSqVI62U00/s1600-h/P3CAMJNDIGCAIZOX77CA0KCGUUCAJWFDG6CAA872YJCA6TBVC3CA16NL0WCAM10HX9CAUJYTVCCA80UFOACADOEATACAVIFC9JCA0KLNV4CAWN4U87CA2STMHDCAF3L00KCAWNBYO2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5286731187825073202" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 126px; CURSOR: hand; HEIGHT: 97px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqRsR7NpTw5sw0n3yPCIkZZB3_r7JvsF92p3iZ7sAIf8mmSPAoFrmJY4SYMpfVvHi66NIX_XK_LHakhHodpCSLvbpY-eS-VkD2ZXn_5cXeMsz-SsLTUDXIAth7yE5u01m5yaSqVI62U00/s200/P3CAMJNDIGCAIZOX77CA0KCGUUCAJWFDG6CAA872YJCA6TBVC3CA16NL0WCAM10HX9CAUJYTVCCA80UFOACADOEATACAVIFC9JCA0KLNV4CAWN4U87CA2STMHDCAF3L00KCAWNBYO2.jpg" border="0" /></a><br /><div>ประเทศไทย กับ พลัง งาน ทดแทน<br />กล่าวถึง พลังงาน .”ตอนนี้น้ำมันถูกแล้ว จะพักกันก่อนดีไหม ประเทศไทย พอสบายก็ลืมทุกข์”<br />พลังงานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากมนุษย์ได้ทำการปฏิวัติทางด้านอุตสาหกรรมขึ้นในศัตวรรตที่ ๒๐ ทำให้เกิดนวัตกรรม การบริโภค นิยมในเวลา ต่อมา ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการผลิตก็คือ พลังงาน ตั้งแต่ ถ่านหิน ที่ใช้ผลิด กระแสไฟฟ้า หรือ การใช้เพื่อเป็นพลังงานสำหรับการเดินทางและการขนส่งปัจัยการผลิตต่างๆ จนกระทั้ง กลายเป็นน้ำมัน ในปัจจุบันนิยม สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจาก สิ่งที่เป็นธรรมชาติ ที่เกิดจากการ สะสมเกาะเก็บ มานับบล้านๆปี ซึ่งอาจจะต้องหมดไปในไม่ช้านี้ สิ่งที่สำคัญที่จะต้องนำมาขบคิดก็คือ พลังงานที่จะนำมาทดแทน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย ที่ทุกๆประเทศต่างระดม พลังความคิดกัน ขนานใหญ่ ว่าจะใช้อะไรมาเป็นสื่งทดแทนและเป็นสื่งที่ไม่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษมากที่สุด ซึ่งต่อมาก็ได้มีการใช้ วิทยาการทางด้านวิทยาศาสตร์เขาร่วมคิด จนพวกเราเห็นจนชินตา ว่าสามารถใช้วัตถุดิบ จากธรรมชาติมาเป็นแหล่งพลังงาน เช่น เอทานอน จาก พืช ดังมี อ้อย เป็นต้น หรือ พลังงานไฟฟ้า จากแสงอาทิตย์ หรือแม้กระทั้งน้ำ แต่ทำไม่เราทราบกันมาตั้งนานว่าเราสามารถทำได้ แต่ไม่มีประเทศใด ที่ทุ่มเท อย่างจริงจัง ที่จะทำให้สิ่งที่เป็นผลังงานเหล่านี้ เกิดขึ้น และใช้ประโยชน์อย่างเต็มรูปแบบที่เห็นการผลิตที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคงไม่พ้นประเทศ บราซิล ที่ใช้พลังงานทดแทน จากผลผลิตทางการเกษตร ที่ยากจะให้ประเทศเล็กๆกระทำตามได้ โดยแต่ละประเทศต่างใช้ความคิดที่จะลดการนำเข้าน้ำมัน หรือแม้แต่การ ยอมให้เหล่าประเทศผู้ผลิตน้ำมัน เอาเปรียบ อยู่อย่างเดี่ยว โดยการขึ้นราคาน้ำมัน ขูดเลือดชาวโลกมาโดยตลอดซึ่งปัจจุบันหน้าเลือดมากยิ่งขี้น โดยทาง สหประชาชาติเองซึ่ง ทำตัวเป็นศาลของโลกก็ไม่มีปัญญาพอที่จะห้ามประเทศเหล่านี้ไม่ให้ขึ้นราคาโดยความไม่เป็นธรรม ซึ่งเกิดจากสาเหตุใดก็สุดที่จะคาดเดาได้<br />ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่มีผลผลิตทางเกษตรกรรมเพื่อการส่งออกและบริโภคภายในประเทศเป็นหลัก การแก้ไขปัญหา ในเรื่องพลังงานนั้นเรา สามารถจะกระทำได้ ในหลายรูปแบบ โดย นำเอาแบบ อย่างประเทศอื่น มาเป็นต้นแบบ ( ลอกการบ้าน หมายเหตุ คิดเองไม่ใช้คิดไม่ได้แต่ไม่กล้าคิด) มันสมอง ของประเทศไทย หลังไหล ไปประเทศอื่นหมด เป็นเพราะอะไรพวกท่านก็คงทราบๆกันดี เหล่านักการเมือง ที่มีมันสมองในด้านการโกงกินชั้นเลิศและหน้าตา ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คงหาทางแก้ปัญหานี้อย่าง ลงตัวได้ ยากพอสมควร (เพราะอาจจะแบ่งปัญหาหรือ อาจเป็น ตัณหา เหล่านี้กันไม่ลงตัวก็เป็นได้) ประเทศไทยทั้งประเทศ ในไม่เกิน ห้าปี คงจะมีอาการคล้ายคนเป็น อัมพาต ทั้งส่วนบนตั้งแต่ สมอง จน อวัยวะส่วนต่างๆ ซึ่งพวกท่านทั้งหลายก็คงเห็นว่าใน ปัจจุบัน ประเทศไทย ก็คล้ายกับ คนเป็น อัมพฤกษ์ไปแล้วทำอะไรก็ไม่เต็มแรง เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมอง ก็เหลือ ครึ่งเดียว ไม่รู้อีกครึ่ง ใครเอาไปคิดแทนแล้ว หรือ อาจเป็นอุจระขึ้นไปแทนที่ก็อาจเป็นได้ อันกลไก ราคาน้ำมันก็พกผันกันเหลือที่จะสามารถคำนวณได้ไม่รู้อะไรต่อมิอะไร ให้เป็นส่วนแบ่งกันมากมาย จนชาวบ้านไม่อยากเอามาคิดกันให้ปวดหัว แค่คิดที่จะมีชีวิตให้ประทังไปวันๆ ก็ยากกันอยู่แล้ว ผู้ซึ่งทำหน้าที่คิดก็คิดกันไม่ค่อยจะออก จนต้องให้ประเทศอื่นเขาคิดให้ เขาว่าอย่างไรก็ว่ากันไป ก็มันคือ (กลไก ของตลาดไง)<br />ประเทศไทย เราลองมาคิดดูว่า เราจะอยู่ได้หรือไม่โดยการไม่ต้องนำเข้าน้ำมัน ถ้าเราคิดกันเล่นๆว่าโดยให้ทุกๆอำเภอ มีโรงงานผลิด ไบโอดีเซล และ เอทานอน อย่าง ละ หนึ่งโรงเป็นอย่างน้อย โดยแรกเริ่มให้รัฐจัดตั้งโรงงานและจัดให้มีเจ้าหน้าที่ประจำสถานี จัดการควบคุม คุณภาพ และ ทำการวิจัย พืชที่จะให้พลังงานมากที่สุดในพี้นที่ ว่าจะต้องใช้ปริมาณ วัตถุดิบอย่างไร เท่าไร ถึงจะให้เพียงพอต่อความต้องการคน คนในพื้นที่ มากที่สุด และเป็นที่ที่ต้องให้ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ โดยสามารถกระจาย ผลผลิตไปได้อย่างทั่วถึง โดยเกษตรกรขายผลผลิตให้กับทาง โรงงาน ที่มีลักษณะสหกรณ์ ทุกๆคน สามารถเขาร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรได้ ขายได้กำไร ก็แบ่งกัน เงินทอง ก็อยู่กันในพื้นที่ โดยเมื่อแต่ละพื้นที่เริ่ม มีกำไรจากการผลิตแล้ว รัฐจึงเริ่มดำเนินการเก็บภาษี ในรูปแบบที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชาวไร่ชาวนาจะได้ผลประโยชน์ จากการสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นเพิ่มราคาให้ผลผลิต ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งไม่ต้องคิดอะไรให้มากเรื่อง ท่านทั้งหลายคงจะเห็น ตัวอย่าง จากร้านเก็บเศษเหล็ก หรือ ร้านรับซื้อ ของเก่า ซึ่งก็มีลักษณะการ จัดการที่คล้ายกัน ในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะได้ โลหะ ทีหลอมแล้ว รีดเป็นโลหะแผ่นที่จะนำมาใช้ทำประโยชน์ได้อีกนั้นเอง สิ่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่เราไม่มีความสามารถหรือทำไม่ได้ แต่แท้จริงอยู่ที่ความจริงใจที่ต้องการแก้ปัญหามากกว่า หรือฝ่ายผู้ใหญ่ภายในบ้าน ที่ชื่อว่าประเทศไทยหลังนี้ มีความนัย ที่ไม่สามารถจะแก้ปัญหาเหล่าได้ โดยมีปัจจัยต่างๆ จากหลายมุ่ง หลายม่าน เขามาบังความคิด ทำให้หูมืดตามัว จนไม่สามารถ ที่จะแก้ปัญหาต่างๆ แม้กระทั้งการริเริ่มก็ยังคลุมเครือ<br />ถ้าจะทำกันอย่างจริงจังให้ภาครัฐดำเนินการทดสอบจัดหารถยนต์ของภาคราชการที่จะมีการจัดหาใหม่ โดยให้ดำเนินการออกกฎระเบียบที่รุนแรงและเข้มกว่าเดิมในการจัดหารถยนต์ไว้ใช้ภายในประเทศ จะต้องใช้ผลังงานได้มากกว่าหนึ่งรูปแบบ และต้องเป็น รถยนต์ที่ประหยัดผลังงาน โดยต้องเป็นรถยนต์ที่ประเทศไทยผลิต เองได้ และใช้แบรนเนม ของไทยบ้างเป็นการ ผูกขาดโดยเน้นคุณภาพต้องดีกว่าภาคเองชน ซึ่งภาครัฐต้องทำให้ได้เป็นตัวอย่าง ประเทศไทยจะได้ชื่นหน้าชูตา ได้ว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีรถยนต์คุณภาพดีผลิตได้เอง และใช่เองภายในประเทศ ซึ่งต่อไป สามารถใช่ได้กับรถยนต์โดยสาร (แท็กซี่)จะเห็นตัวอย่างเช่นประเทศอังกฤษเป็นต้น ประเทศไทยสามารถทำได้อีกมาก แต่จะได้หรือไม่อยู่ที่ผู้บริหารบ้านเมือง มีวิสัยทัศน์กันอย่างไร มีความกล้ากันแค่ไหน ที่จะกระทำกันอย่างจริงจัง ไม่ได้ทำแล้วให้เด็กรุ่นหลังมาด่าตามหลัง ดังโครงการโกงกินเกินมาตรฐาน จนกลายเป็นมหาศิลปะการโกง ที่โผล่กลางกรุงที่เห็นได้ตามชาญชลารถไฟแถวๆดอนเมือง </div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-51312978580461133932008-11-27T07:12:00.000-08:002008-11-27T08:04:21.186-08:00ประเทศไทยกับเผด็จการ<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTza_IUJruGbIQleYgDyBRqhLT_BR95-nG1r3olUmcdbwDPgNqHRL3Zq74ePk6k_tBGWs0LtkNowbnNkuMDO-i20u6mgsQBQGh68HcydbHPikJozaL7GkMbzansTODajlj1Dxq7CVoWmE/s1600-h/rtanewdigitalcamouflagere6.jpg"></a><br /><div>ประเทศไทย ภายใต้ร่ม ธง ขาว แดง น้ำเงิน ไม่เคยให้ อำนาจที่มาจากประชาชน อย่างจริงจัง จากประวัติศาสตร์การรัฐประหาร ๑๘ ครั้ง และ ปัจจุบัน อำนาจ บางส่วนยังอยู่กับคนบางกลุ่ม ที่อยู่นอกเหนือจากหลักการประชาธิปไตย โดยผลที่ได้ในปัจจุบันก็คือ การพัฒนาประเทศไม่เคยต่อเนื่อง ไม่มีการประสานการพัฒนา ทำให้ประเทศมีอาการล้าหลังในด้านการพัฒนาทางความคิดและ การปฏิบัติให้บรรลุถึงเป็นประเทศพัฒนาแล้ว โดยการขาดความสำนึก รักแผ่นดินอย่างจริงใจของเหล่าผู้นำและผู้บริหารประเทศ ซึ่งพวกกลุ่มชนเหล่านี้มิได้คำนึกถึงประโยชน์ชาติโดยรวม แต่ตรงกันข้ามกับคำนึงถึงประโยชน์ของกลุ่มตนเป็นสำคัญ มีการให้การศึกษาและมีการปลุกระดมความคิดที่ผิดๆ ขาดสติปัญญาวิเคราะห์หาเหตุและปัจจัย ทำให้คนในชาติหลงเชื่อ ยึดติดกับความงมงาย จนอยากแก่การรักษา แก้ไข โดยการให้ความสำคัญกับบุคคล มากกว่า การมองหาการแก้ปัญหาด้วยปัญญา ซึ่งมองแล้ว จะเหมือนกับการต้องถอยหลังเข้าคลอง กล่าวคือ ลัทธิที่มีมาดังเดิม คือ การนับถือ ภูเขาบ้าง แม่น้ำบ้าง ต้นไม้บ้าง เป็น เครื่องยึดเนี่ยว โดยลัทธิ ความเชื่อเหล่านี้ได้เสื่อมความนิยมลง หลังจากการมีพระพุทธศาสนา ที่อ้างถึง หลักความเป็นจริงของ ธรรมชาติ ทั้งมวล ไม่ว่าท่านจะ ยิ่งใหญ่ หรือ ด้อยค่า เพียงใด ท่าน ย่อมหนี หลักทางธรรมชาติไม่พ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของ การใช้สติปัญญา ในการแก้ไข ปัญหาด้วยการใช้ความเป็นจริงในการตัดสิน และมีการใช้ระบบการปกครองแบบ หลักการประชาธิปไตย ในการตัดสินใจร่วมกัน และ ใช้หลักนิยมจากความเห็นของส่วนรวมหรือ ความเห็นของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ให้ตัดสินใจตามคนส่วนน้อย ซึ่งคนส่วนใหญ่เขาไม่เอาด้วย นั้นเขาเรียกว่า เผด็จการของชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ประชาธิปไตย แสดงว่า คนโบราณในสมัย ๒๕๐๐ กว่าปีเขาเข้าใจในหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย มากกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน<br />เราในฐานะคนไทยควรหันมามองปัญหา ในเรื่องความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาจากปัจจุบันนี้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ลองมองหาเหตุผล ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แล้วย้อน มองดูตัวท่านเอง ว่าเป็นอย่างไร มีสติอยู่หรือไม่ อะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ระเมิดการเป็นส่วนตัวของผู้อื่นอยู่หรือไม่ กระทำเหตุให้ตนเองและผู้อื่นเขาเดือดร้อนอยู่หรือไม่ ท่านมีอารมห์ รัก โกรธ และ หลงไหล ไปกับ สื่อมากเกินไปหรือไม่<br />ท่านทั้งหลายลองตั้งสติ พิจารณา ไตร่ตรอง ดูก่อน ว่าสิ่งที่จะทำลงไปได้ประโยชน์อันดีต่อตัวท่านเองโดยไม่ไปเบียดบังประโยชน์ผู้อื่น และการกระทำเหล่านั้น มันชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ควรตั้งสติในการรับฟังความคิดเห็น ที่มาจากสื่อต่างๆให้มาก ถ้าส่งสัยในเรื่องความเชื่อให้ไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับ กาลามสูตร หรือ คลิกได้ตามข้อความนี้ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3</a><br />ท้ายนี้ขอฝากให้ท่านทั้งหลาย ไตร่ตรอง ความคิด ต่างๆ ก่อนที่ทำการเชือถือ แบ่งฝักแบ่งฝ่าย จนทำให้ ประเทศชาติที่เชื่อว่ามีการปกครองแบบ ประชาธิปไตย มีเพียงแต่ชื่อเท่านั้น</div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-7743670118565830812008-10-25T14:47:00.000-07:002008-11-03T03:57:52.402-08:00ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgejfEamqE4oEYuAdBIIzg5KpJQNwjBSPBXuaUAWlgc8Yg6GLjuscLZ0GAhYsQXLhFwQffaxlbfwSzRCd956kE1CpcPeMUm1fcX7CU0ig38yRQ7QkUysXMGhoC1D8q6XBl3-mGkZjfKZQ/s1600-h/smartvineyard1.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5261239611061857762" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 150px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhgejfEamqE4oEYuAdBIIzg5KpJQNwjBSPBXuaUAWlgc8Yg6GLjuscLZ0GAhYsQXLhFwQffaxlbfwSzRCd956kE1CpcPeMUm1fcX7CU0ig38yRQ7QkUysXMGhoC1D8q6XBl3-mGkZjfKZQ/s200/smartvineyard1.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsuejgKVp-Ko5lszW8UPlutp9ahEsm-z5rgUZktL2XVN4iY0RZEhcP8LckwNKNzlhQ6TJZKi0ABoxJS-xnkWdNYzozMmUs0UNBvU_o9BFjvWVkaL_rG9T-EcY9c5j4TvahfTSDNb05XHc/s1600-h/53.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5261238889596988274" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 140px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsuejgKVp-Ko5lszW8UPlutp9ahEsm-z5rgUZktL2XVN4iY0RZEhcP8LckwNKNzlhQ6TJZKi0ABoxJS-xnkWdNYzozMmUs0UNBvU_o9BFjvWVkaL_rG9T-EcY9c5j4TvahfTSDNb05XHc/s200/53.jpg" border="0" /></a><em> ไร่องุ่นในฝรั่งเศษที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ท้องถิ่น กับ ชาวนาผู้ยิ่งใหญ่ของไทยกับควาย</em><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMfOSLoRNEZu7mh3zTQyPpuIhB8b58RdsqioQzJkX7-cbrDMZuRc1mWwHb1I7Z7918AYRFOen8G_2VOCk0CBteD0hdFYvnYku7og1n4qUxXAs2vUT1VbAf3n5gtMk0dyyYfo4tLIHVE7E/s1600-h/Koeh-232.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5261222110905343426" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 152px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMfOSLoRNEZu7mh3zTQyPpuIhB8b58RdsqioQzJkX7-cbrDMZuRc1mWwHb1I7Z7918AYRFOen8G_2VOCk0CBteD0hdFYvnYku7og1n4qUxXAs2vUT1VbAf3n5gtMk0dyyYfo4tLIHVE7E/s200/Koeh-232.jpg" border="0" /></a><br /></div><br /><br /><div>บทความนี้ขอแสดงความเคารพต่อผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง...........</div><br /><div>ชาวนา<br /></div><div>ก่อนเสียงนกแว้วร้องกว่าพระอาทิตย์จะทอแสงรุ่ง มีคนกลุ่มใหญ่เตรียมออกไปทำภาระกิจกันแล้วด้วยเครื่องแบบที่มอซอ(เสื้อขาดกางเกงปะแล้วปะอีก) โดยผู้คนเหล่านี้ต่างคนต่างรู้สึกขนขวายมุ่งหน้าสู่ทุ่งสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา และแล้ววันแห่งการทำนาก็เริ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง<br /></div><div>ชาวนาไทย<br /></div><div>เป็นอาชีพที่คนทั่วไปไม่นิยมส่งลูกหลานที่เรียนหนังสือแล้วมาเป็นกัน หรือว่าเป็นคำอีกคำที่ใช้บอกเด็กที่ขี้เกียจเรียนว่า(ถ้ามึงไม่เรียนมึงอยากจะมาทำนาหรือไง) จนเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอาชีพที่สังคมให้ค่านิยมที่แตกต่างจากคำว่าครู,หมอ,พยาบาล,ทหาร,ตำรวจ หรือ นักการเมือง ที่ให้ค่าคนที่ทำอาหารหลักให้แก่ประเทศและส่งออกอาหารที่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่เรียกว่า(ข้าว) โดยนัยแห่งความสำคัญไม่อาจจะแยกออกจากวิถีชีวิตของคนเอเซียได้เลยจนบางทีเข้าลึกจนถึงวัฒนธรรมเลยทีเดียว เช่นบางลัทธิให้มีเทวดาประจำ ที่ต้องกราบไหว้บูชากันทุกๆปี(พระแม่โพสพ)จนถึงศาสนาก่อนสมัยพุทธกาลยังต้องมีพิธีในการให้กำลังใจกับผู้ที่ผลิตข้าวโดยให้กษัตริย์ในแว่นแคว้นมาเป็นประธานประกอบพิธีจนถึงปัจจุบันบางประเทศยังมีการทำพิธีนี้อยู่<br /></div><div>คนไทยกับคำว่าข้าว จึงไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ เพราะว่าข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยที่ทานกันประจำตั้งแต่เกิดจนตายก็ว่าได้ โดยคำว่าอาหารแถบไม่ค่อยได้ออกปากจากคนไทย ถ้าถามว่าทานอะไรมาหรือยัง ก็จะถามว่า(กินข้าวมาหรือยัง)เป็นต้น ข้าวเป็นส่วนประกอบสำคัญของทุกประเพณีของคนไทยมาแต่เดิม เช่นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จะใช้ข้าวมาเป็นส่วนประกอบร่วมอยู่ด้วย</div><br /><div>คนไทยกับคำว่าชาวนา<br /></div><div><em>คำจำกัดความของ สารานุกรมเสรีให้ไว้ว่า ชาวนา คืออาชีพทาง</em><a title="เกษตรกรรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1"><em>เกษตรกรรม</em></a><em> ใน</em><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><em>ประเทศไทย</em></a><em>มักมีความหมายถึงอาชีพปลูก</em><a title="ข้าว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7"><em>ข้าว</em></a><em>เป็นหลัก ชาวนาในประเทศไทยนับว่าเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุด เพราะข้าวเป็นอาหาร หลักของคนไทย อาชีพทำนาเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนไทย ที่สืบทอดมายังอนุชนรุ่นหลัง โดยส่วนใหญ่แล้วชาวนาจะใช้ชีวิตอยู่โดยสงบเงียบในชนบทการทำงานของชาวนาจะเริ่มทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำตลอดทั้งปี เพราะหลังจากฤดูกาลเก็บเกี่ยวประจำปีแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มปลูก</em><a class="new" title="ข้าวนาปรัง (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87&action=edit&redlink=1"><em>ข้าวนาปรัง</em></a><em> หรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ ต่ออีก หรือไม่ก็เลี้ยง</em><a class="new" title="ปศุสัตว์ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><em>ปศุสัตว์</em></a><em>หรือสัตว์อื่น ๆ เสริม เช่น </em><a title="ปลา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2"><em>ปลา</em></a><em> และ </em><a title="เป็ด" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94"><em>เป็ด</em></a><em> เป็นตัน โดยปกติปลาจะอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในนาข้าว ดังนั้น ต้นกล้าและปลาจะเติบโตไปพร้อม ๆ กัน ส่วนใหญ่ข้าวจะปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งคำเรียกภาคกลาง ว่า "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของเอเซีย</em></div><br /><div>จากคำจำกัดความนี้ สะท้อนถึงงานอันหนักยิ่ง กว่าชาวนาจะได้ข้าวมาแต่ละเมล็ดต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจกันอย่างมาก ซึ่งอาชีพนี้ไม่ได้ทำการขดโกงใคร และ ยืนอยู่ได้บนลำแข่งของตัวเองอย่างแท้จริงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แต่ปัจจุบันความสำคัญของชาวนากลับเป็นเพียงลักษณะที่คนทั้วไปที่เห็นว่าเป็น คนจนๆ ใส่เสื้อผ้าขาดๆ โทรมๆ เป็นหนี้ ขี้โรค ไม่มีความรู้ ต่ำต้อยเพียงดิน โดยพวกเขาต่างไม่ตอบโต้และยังคงทำนาเรื่อยมาอย่างไม่ลดละ เอาหลังสู่ฟ้าเอาหน้าสู่ดิน จนรัฐบาลในอดีตยกย่องชาวนาว่าเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ซึ่งได้ผ่านกาลเวลามาหลายยุคหลายสมัย และสามารถทนต่อภาวะวิกฤติต่างๆในอดีตโดยไม่สนกับผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใด ตราบใดที่ยังมีน้ำไว้หล่อเลี้ยงชาวนาก็ยังสามารถสร้างผลผลิตไว้ให้สำหรับประชากรในประเทศได้อย่างพอเพียงเสมอ และยังเหลือส่งไปขายทำรายได้เข้าประเทศเป็นเงินจำนวนมหาศาลอีกด้วย แต่ยังมีข้อส่งสัยที่ว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้ยังจนอยู่เหมือเดิมทั้งๆที่ผลผลิตของพวกเขาทำรายได้หลักเข้าประเทศทุกๆปี มีอะไรที่มากไปกว่ายี้ปั๊วซาปั๊ว ที่รับซื้อข้าวต่อจากชาวนาหรือไง ทำไมชาวนาถึงไม่รวมตัวกันขายข้าวเสียเอง คนที่รวยไม่ได้ทำนา คนที่ทำนาไม่ได้รวย มันเกิดอะไรขึ้นกับชาวนาไทยที่ถูกซ้ำเติมให้เป็นคนจนหนักลงเข้าไปอีก นี้เป็นข้อสงสัย ที่ยังต้องการคำตอบ หรือผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยเขาต้องการให้เป็นแบบนี้ นั้นก็ยากที่จะเดาได้</div><br /><div>ในทางกลับกันจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ มีนักเรียนนักศึกษาที่จบ ปริญญาตรี ปริญญาโท เพื่อมาเป็นชาวนา ล่ะ จากปัจจุบันประเทศไทยส่งออกข้าวเป็นอันดับ ที่ ๖ ของโลกในขณะที่ชาวนายังเป็น คนจนๆ ที่ถูกสังคมไทยดูถูกว่าต่ำต้อย ไร้การศึกษา แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงโดยการพัฒนาการผลิตจากคนรุ่นใหม่ที่ใช้ความรู้บวกปัจจัยในการผลิตที่มาจากบรรพบุรุษจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาชนชาวนา ที่สามารถใช้เครื่องมือในการทำงานวิเคราะห์หาข้อมูลแก้ไขได้โดยใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้เป็นระบบการจัดการ ที่เน้นการพัฒนาชุมชน และการกระจายสิ้นค้าแบบเน้นการตลาด บวกภูมิปัญญาดังเดิม โดยมีตัวอย่างที่น่าสนใจเช่นในประเทศฝรั่งเศส แต่ละเขตของประเทศเขาจะมีของที่ระลึกที่มาจากธรรมชาติเช่นไวน์จากองุ่นในไร่ ที่มีรสชาติต่างจากอีกเขตหนึงที่มีรัศมีการเดินทางไม่ถึง สามสิบ กิโลเมตร ผมยังเห็นด้วยกับนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณฯในเรื่อง นโยบาย หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ว่าถ้าใช้ภูมิปัญญาต่อเติมจากของที่เรามีอยู่แล้วจะเกิดสิ่งใหม่และสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อชุมชน อีกทางหนึ่ง</div><br /><div>ในส่วนตัวผมคิดว่า สังคมชาวนายังขาดผู้ที่มีความรู้มาเป็นส่วนร่วมในการผลิตและต่อยอด การพัฒนาในการเพิ่มมูลค่าการผลิต ต่อพื้นที่ที่มีจำนวนเท่าเดิม และการกระจายผลผลิตส่งตลาดโดยตรงทั้งในและต่างประเทศ โดยมีลักษณะในการผลิตที่เป็นแบบออแกนิคมากขึ้นและเน้นสุขภาพให้กับผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นต้องเป็น ข้าวอย่างเดียว อาจแปลรูปเป็นสิ่งของอุปโภคอื่นๆได้เช่น น้ำยานวดผมที่ทำจากน้ำนมข้าวเป็นต้น </div><br /><div>ท้ายนี้ขอสดุดีชาวนาไทยและบทความนี้ขอแสดงความเคารพต่อผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยอย่างแท้จริง...........ชาวนา<br />ตาแป้น</div><div><em>จำกัดความของข้าวและที่มาพร้อมทั้งรายละเอียดข้อมูล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</em></div><br /><div><em>ข้าว เป็นพืชล้มลุกตระกูล</em><a title="หญ้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2"><em>หญ้า</em></a><em>ที่สามารถกินเมล็ดได้ ถือเป็น</em><a title="พืชใบเลี้ยงเดี่ยว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B9%83%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7"><em>พืชใบเลี้ยงเดี่ยว</em></a><em>เช่นเดียวกับ</em><a title="หญ้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2"><em>หญ้า</em></a><em> ต้นข้าวมีลักษณะภายนอกบางอย่าง เช่น ใบ กาบใบ ลำต้น และรากคล้ายต้น</em><a title="หญ้า" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2"><em>หญ้า</em></a><em> ในประเทศไทย </em><a title="ข้าวหอมมะลิ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B4"><em>ข้าวหอมมะลิ</em></a><em>มีสายพันธุ์ในประเทศและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก<br /></em></div><div><em>พันธ์ของข้าว</em></div><br /><div><em>ข้าวที่นิยมบริโภคมีอยู่ 2 </em><a title="สปีชีส์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B9%8C"><em>สปีชีส์</em></a><em>ใหญ่ๆ คือ<br />Oryza glaberrima ปลูกเฉพาะในเขตร้อนของ</em><a class="mw-redirect" title="แอฟริกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2"><em>แอฟริกา</em></a><em>เท่านั้น<br />Oryza sativa ปลูกทั่วไปทุกประเทศ ข้าวชนิด Oryza sativa ยัง แยกออกได้เป็น<br />indica มีปลูกมากในเขตร้อน<br />japonica มีปลูกมากในเขตอบอุ่น<br />Javanica<br />ข้าวที่ปลูกใน</em><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><em>ประเทศไทย</em></a><em>เป็นพวก Indica ซึ่งแบ่งออกเป็นข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ ข้าวยังได้ถูกมนุษย์คัดสรรและปรับปรุงพันธุ์มาโดยตลอดตั้งแต่มีประวัติศาสตร์การเพาะปลูก ข้าวในปัจจุบัน จึงมีหลายหลายพันธุ์ทั่วโลกที่ให้รสชาติและประโยชน์ใช้สอยต่างกันไป พันธุ์ข้าวที่มีชื่อเสียงระดับโลกของไทย คือ </em><a title="ข้าวหอมมะลิ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B4"><em>ข้าวหอมมะลิ</em></a></div><br /><br /><div><em>ลักษณะที่สำคัญของข้าวแบ่งออกได้เป็นลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต และลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์ ดังนี้<br />ลักษณะที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต<br />ลักษณะที่มีความสัมพันธุ์กับการเจริญเติบโตของต้นข้าว ได้แก่ ราก ลำต้น และใบ<br />รากเป็นส่วนที่อยู่ใต้ผิวดิน ใช้ยึดลำต้นกับดินเพื่อไม่ให้ต้นล้ม แต่บางครั้งก็มีรากพิเศษเกิดขึ้นที่ข้อซึ่งอยู่เหนือพื้นดินด้วย ต้นข้าวไม่มีรากแก้ว แต่มีรากฝอยแตกแขนงกระจายแตกแขนงอยู่ใต้ผิวดิน<br />ลำต้น มีลักษณะเป็นโพรงตรงกลางและแบ่งออกเป็นปล้องๆ โดยมีข้อกั้นระหว่างปล้อง ความยาวของปล้องนั้นแตกต่างกัน จำนวนปล้องจะเท่ากับจำนวนใบของต้นข้าว ปกติมีประมาณ 20-25 ปล้อง<br />ใบ ต้นข้าวมีใบไว้สำหรับสังเคราะห์แสง เพื่อเปลี่ยนแร่ธาตุ อาหาร น้ำ และคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นแป้ง เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตและ สร้างเมล็ดของต้นข้าว ใบประกอบด้วย กาบใบและแผ่นใบ<br />ลักษณะที่เกี่ยวกับการขยายพันธุ์<br />ต้นข้าวขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดซึ่งเกิดจากการผสมระหว่างเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย ลักษณะที่สำคัญเกี่ยวกับการ ขยายพันธุ์ ได้แก่ รวง ดอกข้าวและเมล็ดข้าว<br />รวง รวงข้าว (panicle) หมายถึง ช่อดอกของข้าว (inflorescence) ซึ่งเกิดขึ้นที่ข้อของปล้องอันสุดท้ายของต้นข้าว ระยะระหว่างข้ออันบนของปล้องอันสุดท้ายกับข้อต่อของใบธง เรียกว่า คอรวง<br />ดอกข้าว หมายถึง ส่วนที่เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียสำหรับผสมพันธุ์ ดอกข้าวประกอบด้วยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่นประสานกัน เพื่อห่อ หุ้มส่วนที่อยู่ภายในไว้ เปลือกนอกใหญ่แผ่นนอก เรียกว่า เลมมา (lemma) ส่วนเปลือกนอกใหญ่แผ่นใน เรียกว่า พาเลีย (palea) ทั้งสองเปลือกนี้ ภายนอกของมันอาจมีขนหรือไม่มีขนก็ได้<br />เมล็ดข้าว หมายถึง ส่วนที่เป็นแป้งที่เรียกว่า เอ็นโดสเปิร์ม (endosperm) และส่วนที่เป็นคัพภะ ซึ่งห่อหุ้มไว้โดยเปลือกนอกใหญ่สองแผ่น เอ็นโดสเปิร์มเป็นแป้งที่เราบริโภค คัพภะเป็นส่วนที่มีชีวิตและงอกออกมาเป็นต้นข้าวเมื่อเอาไปเพาะ เป็นต้น ข้อมูลภาพและเนื้อหาจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</em></div></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-37315469537588137552008-10-23T06:43:00.001-07:002008-10-24T04:51:30.775-07:00แผ่นโปสเตอร์หนังกลางแปลง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxh0doW4L1bDrUaEa2Nnf1CdSiNizkPzEWcrQ_jS7panMw-TcvDJ-Cj6weXnzkayGBB95gU5sUgoDEzOV065bOqzywW0AiRu7_5Hpk3sB5gv4dstIorIwZKslLKfDQcWSSc29hvuhJHEU/s1600-h/reply412671_19.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5260370235526173682" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 128px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjxh0doW4L1bDrUaEa2Nnf1CdSiNizkPzEWcrQ_jS7panMw-TcvDJ-Cj6weXnzkayGBB95gU5sUgoDEzOV065bOqzywW0AiRu7_5Hpk3sB5gv4dstIorIwZKslLKfDQcWSSc29hvuhJHEU/s200/reply412671_19.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeVfThhE4ehEHm31-j3DudhExWHkK_sbcezr0LL2VFuE3lSfCyaHwAM1NARSF4Yot3aeOPukBuV2deld808at-l3djIwqf4g_v81P_WKhN1lgvS0RMtil5X821GKHOS6m2WxoDxvMmghM/s1600-h/spd_20070707115227_b.jpg"></a>ฟังเพลงจากโปสเตอร์<a href="http://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450">http://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450</a><br /><br /><div>ท่าน(ที่มีอายุ๓๐ปี่ขึ้นไป)ยังจำบรรยากาศเหล่านี้ได้หรือไม่ กล้วยทอด ปลาหมึกย่าง ลูกชิ้นย่าง น้ำหวานสีสันสดใส แสงสลั่วๆของตะเกียงน้ำมัน เพลงลูกทุ่ง และผ้าห่ม พร้อม เสื่อปูนั๋ง การสนทนากันของเพื่อนที่มาร่วมเหตุการณ์ การพบปะกันของเพื่อนๆข้างบ้าน และเสียงของรีนและหนามเตยที่ประกบกันในเครื่องฉายหนัง และความสนใจในเรื่องอย่างเดียวกัน ณ วันเวลาสถานการณ์เดี่ยวกัน โดยรวมแล้วเป็นความทรงจำที่ยากที่จะลืมเลือนซึ่งได้จากหนังกลางแปลง ที่ก่อนจะมีการเริ่มฉายก็จะมีการโฆษณาว่าจะมีหนังเรื่องอะไรฉายบ้างในคืนนี้ โดยใช้แผ่นโปสเตอร์หนัง ที่เป็นภาพวาดสีน้ำมันจะทำหน้าที่ของมันต่อผู้ที่สนใจโดยการเล่าเรื่องราวในภาพยนต์ที่จะนำเสนอผ่านพู่กันสีและตัวหนังสือออกมาเป็นภาพวาดที่ถ่ายทอดอารมณ์ถึงผู้รับรู้ได้เป็นอย่างดีโดยผู้รับรู้สามารถทราบรายละเอียดเรื่องราวได้อย่างคล้าวๆผ่านแผ่นกระดาษนี้ </div><br /><div>เรื่องราวเหล่าหนี้ได้ฝังติดอยู่ในจิตใจของผมอย่างไม่มีวันลืมจากการที่ได้ตระเวนไปที่ต่างๆกับ พ่อซึ่งมีประสปการณ์ทำหนังกลางแปลงมาเกือบสี่สิบปี ในการไปเสนอให้ความบันเทิงในยามค่ำคืนแก่เจ้าภาพที่จ้างบริการหนังกลางแปลงไปฉาย ณ บริเวณบ้านตัวเจ้าภาพเอง ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานทำบุญบ้าน งานแต่งงาน งานโกนจุก วันเกิด จนถึงวันตาย(งานศพ) ก็สามารถนำหนังกลางแปลงไปฉายซึ่งก็ได้สร้างความครึกครื้นให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างดี เพราะสมัยก่อนความบันเทิงอย่างเช่นโทรทัศน์ยังเข้าไม่ถึงทุกครัวเรือนเหมือนในปัจจุบัน และการคมนาคมก็ยังไม่สะดวกหนังกลางแปลงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆและความสนุกสนานข้อคิด คตินิยม การโฆษณาช่วนเชื่อ เข้าถึงจิตใจประชาชนได้อย่างซึมซาบมากที่สุดก็ว่าได้ ถ้าจะเปรียบก็เหมือน คุณกำลังหิวน้ำอยางมาก อยู่กลางแดดเดินทางมาเจอร่มข้างทางมีน้ำไว้คอยบริการ ท่านย่อมจะจดจำสถานที่นี้ได้อย่างไม่่ลืมเลือนไปอย่างง่ายๆ เช่นนั้น ผมยังจำการไปเร่ฉายหนังในพื้นที่ห่างไกลความเจริญหรือไกลปืนเที่ยงก็ว่าได้ในสมัยซึ่งผมยังเป็นเด็กการคมนาคมในต่างจังหวัดยังไม่สะดวกและก็ยังมีขบวนการคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกระจายอยู่โดยรอบอย่างห่างๆ ซึ่งชาวบ้านและเหล่าข้าราชการเรียกบริเวณพื้นที่นี้ว่าพื้นที่สีชมพู โดยรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเข้าใจกับประชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนบริเวณนี้ยากจนและโดนข้าราชการข่มเหงรังแก จึงมีต่อต้านการปกครองที่มาจากส่วนกลางเกิดขึ้น และไม่รับฟังการโฆษณาใดๆจากฝ่ายรัฐบาลเพราะเขาไม่ไว้วางใจ เห็นพวกเขาเป็นพวกคนยากจนไม่รู้หนังสือ ฝ่ายราชการจึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปพัฒนาแม้เป็นการพัฒนาที่จริงใจก็ตาม แต่ชาวหนังเร่กลับตรงกันข้าม เราให้การบริการเร่หนังไปเรื่อยๆ แล้วแต่พื้นที่จะอำนวย การหาพื้นที่ฉายหนังนั้นก็จะมีการใช้ส่วนล่วงหน้าเข้าไปหาข่าวโดยติดโปสเตอร์หนังไปด้วย เพื่อให้ชาวบ้านรับรู้ว่าเป็นพวกหนังกลางแปลง ไม่ใช่ราชการมาหาข่าวชาวบ้าน โดยเข้าไปตามร้านกาแฟ ในหมู่บ้าน ถามถึงจำนวนครัวเรือน และหาสถานที่ว่ามีพื่้นที่ไหนสามารถให้การสนับสนุนการฉายหนังได้บ้าง เป็นต้น และทำการปิดวิก เข้าชมต่อไป ซึ่งเหล่านี้เป็นการสร้างมวลชนและความบันเทิงให้กับคนในชนบทห่างไกลความเจริญได้เป็นอย่างดี </div><br /><div>ในสภาวะปัจจุบันลักษณะการทำหนังกลางแปลงแบบที่ว่ามานี้อาจจะเหลือน้อยเต็มที ความเจริญทุกรูปแบบให้การสนองตอบความต้องการเป็นลักษณะปัจเจกบุคคลไปแล้ว สังคมหนังกลางแปลงแทบจะไม่มีให้เห็น การสนทนากันในหมู่ชาวบ้านในสังคมเริ่มห่างกันไป จนเหมือนกับว่าเรารู้จักคนใกล้บริเวณบ้านเราน้อยลงไปทุกที นั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีการแตกแยกในสังคมให้เห็นมาโดยลำดับ ในส่วนตัวกระผมหนังกลางแปลงมีส่วนช่วยในการพัฒนาในทางจิตใจและความรักสมัครสมานในสังคมอยู่ไม่มากก็น้อย เป็นที่น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เราไม่มีโอกาสมากนักที่จะกลับไปหาความสุขแบบเดิมได้อีกแล้ว โดยปัจจุบันนี้มีความบันเทิงรูปแบบใหม่ๆมาสนองตอบความต้องการเน้นการบริโภคนิยมแบบเห็นแก่ตัวหรือไม่มีการเผื่อแผ่มากยิ่งขึ้น เช่นการดูหนังดีวีดี การเล่นเกมส์แบบเอาชนะ เป็นต้น โดยสิ่งเหล่านี้กำลังสร้างความแปลกแยกให้สังคมและชุมชนห่างขึ้นไปทุกขณะ ท้ายนี้ก็ได้แต่ระลึกถึงหนังกลางแปลงในอดีตที่ยังอยู่ในหัวใจเรื่อยมาตราบเท่า...........ปัจจุบัน ฟังบทเพลงจากโปสเตอร์ภาพยนต์เทพธิดาดอยได้จาก<a href="http://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450">http://www.music.oldsonghome.com/listen.php?song_id=1450</a></div><br /><div>ตาแป้น </div></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-41790728446404953672008-10-18T05:53:00.001-07:002008-10-23T06:36:20.747-07:00เราเป็นใคร<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0-ESrunoRXqrCRlCkdhpl8DAy826szu0N5Lri9sFdrWo-zY5hrVFFiIxRvCKUzFbt82Ul0ZS26d1xg91GtKcpulwqbT9wp2cO7cr8mU_dXR7yfcz1RqSsKyHU89DiSazabov9v4ruAFY/s1600-h/51.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258912728813785346" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 134px; CURSOR: hand; HEIGHT: 194px" height="204" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0-ESrunoRXqrCRlCkdhpl8DAy826szu0N5Lri9sFdrWo-zY5hrVFFiIxRvCKUzFbt82Ul0ZS26d1xg91GtKcpulwqbT9wp2cO7cr8mU_dXR7yfcz1RqSsKyHU89DiSazabov9v4ruAFY/s200/51.jpg" width="148" border="0" /></a><br /><div align="right">วัฒนธรรมการตีกลองยาวของกลุ่มชนในยูนาน</div><br /><br /><div align="right"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmwtMB9hEmFwV0XOdKsMkg9DAOIu-88cYmJziN1fUSpyaBHectFXgha05XeBcEtN-UjZ5PgVQz6K-92af1Zr0-5UvEhFx-rnBobjzec9OO_LzFMzWIIlrnoK6eeNZkQK4GH4tNozWU9Tw/s1600-h/3849025.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258643175751553826" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 129px; CURSOR: hand; HEIGHT: 183px" height="174" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmwtMB9hEmFwV0XOdKsMkg9DAOIu-88cYmJziN1fUSpyaBHectFXgha05XeBcEtN-UjZ5PgVQz6K-92af1Zr0-5UvEhFx-rnBobjzec9OO_LzFMzWIIlrnoK6eeNZkQK4GH4tNozWU9Tw/s200/3849025.jpg" width="125" border="0" /></a> </div><div align="right"><br /><br /><br /></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhV7_fH2iKxdZsqMKXwVj-lqj679v0dLTu0fTiZB4Oz5BzeWSWhLnUwQ4WMAAb9AsStj6cT4Dw_qhdkT88jCxEl4su_Ex4CIWHWW-YGQ3V_zQ4dK1zazR5MCUAfawm8JTCnLAgjEp9zXEY/s1600-h/picture%255C201254814253.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258642935822249218" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 135px; CURSOR: hand; HEIGHT: 171px" height="185" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhV7_fH2iKxdZsqMKXwVj-lqj679v0dLTu0fTiZB4Oz5BzeWSWhLnUwQ4WMAAb9AsStj6cT4Dw_qhdkT88jCxEl4su_Ex4CIWHWW-YGQ3V_zQ4dK1zazR5MCUAfawm8JTCnLAgjEp9zXEY/s200/picture%255C201254814253.jpg" width="141" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXXKGUTQ1sahqtHkylJV5Lu4vqTSCnK2pvydM3VOBkqUDX6bmFWgh5rElQUtjSQyGaeM6Zj9xnjSykAO0mR0alW0kqTRC6vB6frNEYWp8xkI_ZHWIqqdfEzFnRBnm7gqqcYZaa32erAoc/s1600-h/800px-Mongol_Empireaccuratefinal.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258638434104425970" style="FLOAT: left; MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 180px; CURSOR: hand; HEIGHT: 98px" height="136" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXXKGUTQ1sahqtHkylJV5Lu4vqTSCnK2pvydM3VOBkqUDX6bmFWgh5rElQUtjSQyGaeM6Zj9xnjSykAO0mR0alW0kqTRC6vB6frNEYWp8xkI_ZHWIqqdfEzFnRBnm7gqqcYZaa32erAoc/s200/800px-Mongol_Empireaccuratefinal.jpg" width="372" border="0" /></a></p><br /><br /><br /><br /><br /><div align="center"><br /></div><br /><br /><br /><br /><br /><p align="center">จักรวรรดิมองโกลประมาณ พ.ศ. 1800-1900พื้นที่ทางใต้กินอาณาบริเวณประเทศจีนทั้งหมดรวมถึงพม่า<br /><br />ลักษณะชาติพรรณและการแต่งกายของ ชาวเขาเผ่าม้งและชาวมองโกล<br /></p><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgV5sSJWAqenQUenTgzHJ_nbDPE1VaGlJZK9vrVWyzMdrCJLNK5wYdI4P79iTP9Hoxa_TtldC41CfkidVRyG2XdkYuLNPWaAX4pmk853AemvJLMiQuAh8L9wEaSdFQYTTGsGrBydgKNyaY/s1600-h/8.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258613132279170178" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgV5sSJWAqenQUenTgzHJ_nbDPE1VaGlJZK9vrVWyzMdrCJLNK5wYdI4P79iTP9Hoxa_TtldC41CfkidVRyG2XdkYuLNPWaAX4pmk853AemvJLMiQuAh8L9wEaSdFQYTTGsGrBydgKNyaY/s200/8.jpg" border="0" /></a><br />เสียมกุกภาพสลักนูนต่ำรอบประสาท นครวัด ในประเทศกัมพูชา</p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258476817528523810" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiJjsADpdL4BHrJ2gaeFi2l-UIEFF_Mu55hVHZkbT96CB_CWKnamvLyqRk5f9hbQ08K6J3aPOQkVUo9nwtDEJAwl76hrgTye8ojfxMAly0Ikp1XVYT6T3ZlNeHAJfr8qG31U7ibmMtBjM4/s200/_41873416_ap_onwards416.jpg" border="0" /><br /><br /><p align="center">นักรบชาติอาชาไนย กุบไลข่าน ที่มีหลักนิยมในการต่อสู้โดยใช้ม้าเป็นหลัก<br /></p><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOyfqLnveoutWa0eGubUH-cRLP15Ofp98iPRAXeNrjll0VsORnON6a36pVe5HP5AqUxYkG88VWef4gUdSTEKLtSmwpw2bUDjHV-tdZp6EXNF6VZi9gEjOUMfmCNUIo0wzefouB3GKyPLc/s1600-h/53fxij9.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258476538402010194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOyfqLnveoutWa0eGubUH-cRLP15Ofp98iPRAXeNrjll0VsORnON6a36pVe5HP5AqUxYkG88VWef4gUdSTEKLtSmwpw2bUDjHV-tdZp6EXNF6VZi9gEjOUMfmCNUIo0wzefouB3GKyPLc/s200/53fxij9.jpg" border="0" /></a> ทหารล้านนา </div><br /><br /><span style="font-family:arial;"><span style="color:#333333;"><strong><em>ตอนนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ในยุคชาตินิยมเคียงคู่กับสหายเก่าแก่ที่ชาตินิยมรุนแรงไม่แพ้กันก็คือประเทศ กัมพูชา จึงต้องการแลกเปลี่ยนทัศนะทางความคิดแก่กันและกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยการหาข้อมูลมาประกอบในการแกะเรื่องราวที่ยากแก่การค้นหาว่าเราคือใคร? และจะจัดว่าเป็นพวกใดเหล่าใดโคตรใครอย่างไรกัน </em></strong></span><span style="color:#333333;"><strong><em>จากประวัติศาสตร์ที่มีการค้นคว้ามาแล้วบ้าง จากข้อมูลนักวิชาการทางโบราณคดีบ้าง จากความเห็นที่น่าสนใจ ของบุคคลต่างๆ โดยทั้งนี้มิได้เจตนาจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ชนชาติไทยแต่อย่างใดแต่ใคร่จะแสดงความคิดเห็นแบบเชิงเหตุและผลเสียมากกว่า การสร้างกระแสความรักชาติจนลืมหลักความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ที่ประกอบไปด้วยเหตุและผล โดยข้อมูลเหล่านี้มีความน่าสนใจและน่าติดตามหาโคตรเถาเหล่ากอ ของไทยว่าเป็นอย่างไร ทำไมต้องเป็นไทย มีลักษณะความแตกต่างกับเพื่อนบ้านมากแค่ไหน และอะไรที่แตกต่างกับเขาถึงสามารถแยกแยะว่าใครเป็นไทยและใครไม่ใช่ไทย </em></strong></span></span><br /><br /><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>1.ประวัติศาสตร์ที่มีการค้นพบในประเทศไทยที่เก่าแก่ที่สุดคือที่</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="บ้านเชียง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>บ้านเชียง</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> โดยสิ่งของที่ขุดพบมาจากในสมัยยุค 3,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยมีการพัฒนาเครื่องบรอนซ์ และมีการปลูกข้าว รวมถึงการติดต่อระหว่างชุมชนและมีระบอบการปกครองขึ้น มีหลายทฤษฎีที่พยายามหาที่มาของชนชาติไท ทฤษฎีดั้งเดิมเชื่อว่าชาวไทยในสมัยก่อนเคยมีถิ่นอาศัยอยู่ขึ้นไปทางตอนเหนือถึงแถบ</em></strong></span><a title="เทือกเขาอัลไต" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%95"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>เทือกเขาอัลไต</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> จากนั้นได้มีการทยอยอพยพเคลื่อนย้ายลงมาทางใต้สู่</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="คาบสมุทรอินโดจีน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>คาบสมุทรอินโดจีน</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> หลายละลอกเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายพันปี โดยเชื่อว่าเกิดจากการแสวงหาทรัพยากรใหม่ แต่ทฤษฎีนี้ขาดหลักฐานทางโบราณคดีที่น่าเชื่อถือได้ ในขณะเดียวกันก็มีหลายทฤษฎีที่อธิบายว่าเดิมชนชาติไท ได้อาศัยอยู่เป็นบริเวณกว้างขวางในทางตอนใต้ของจีนจนถึงภาคเหนือของไทยและได้มีการอพยพลงใต้เรื่อย ๆ เข้ามาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีน จากนั้นได้อาศัยกระจัดกระจายปะปนกับกลุ่มชนดั้งเดิมในพื้นที่ โดยไม่มีปัญหามากนัก ซึ่งอาจเนื่องด้วยดินแดน</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="คาบสมุทรอินโดจีน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>คาบสมุทรอินโดจีน</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ในช่วงเวลานั้นยังมีพื้นที่และ</em></strong></span><a class="new" title="ทรัพยากรธรรมชาติ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ทรัพยากรธรรมชาติ</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>เป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีกลุ่มชนอาศัยอยู่เบาบาง ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรจึงไม่รุนแรง รวมทั้งลักษณะนิสัยของ</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="ชาวไท" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ชาวไท</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>นั้นเป็นผู้อ้อนน้อมและประนีประนอม ความสัมพ้นธ์ระหว่างชาวไทยกลุ่มต่างๆ อาจมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดอยู่บ้าง ในฐานะของผู้มี</em></strong></span><a title="ภาษา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ภาษา</em></strong></span></a><a title="วัฒนธรรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>วัฒนธรรม</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>และที่มาอันเดียวกัน แต่การรวมตัวเป็นนิคมขนาดใหญ่หรือแว่นแคว้นยังไม่ปรากฏ ในเวลาต่อมา เมื่อมีชาวไทยอพยพลงมาอาศัยอยู่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนเป็นจำนวนมากขึ้น ชาวไทยจึงเริ่มมีบทบาทในภูมิภาค แต่ก็ยังคงจำกัดอยู่เพียงการเป็นกลุ่มอำนาจย่อย ๆ ภายใต้อำนาจการปกครองของชาว</em></strong></span><a title="มอญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>มอญ</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>และ</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="เขมร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>เขมร</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> กระทั่งอำนาจของเขมรในดินแดนที่ราบลุ่ม</em></strong></span><a title="แม่น้ำเจ้าพระยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>แม่น้ำเจ้าพระยา</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>เริ่มอ่อนกำลังลง กลุ่มชนที่เคยตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของเขมร รวมทั้งกลุ่มของชาวไทย ในช่วงต่อมา มีการปกครองของหลายอาณาจักรในบริเวณที่เป็น</em></strong></span><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ประเทศไทย</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ในปัจจุบัน ได้แก่ </em></strong></span><a class="new" title="ชาวมาเลย์ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ชาวมาเลย์</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> </em></strong></span><a class="mw-redirect" title="ชาวมอญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%8D"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ชาวมอญ</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> </em></strong></span><a class="new" title="ชาวเขมร (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ชาวเขมร</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> โดยอาณาจักรที่สำคัญได้แก่ </em></strong></span><a title="อาณาจักรทวารวดี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรทวารวดี</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ในตอนกลาง </em></strong></span><a class="new" title="อาณาจักรศรีวิไชย (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%8A%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรศรีวิไชย</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ในตอนใต้ และ</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="อาณาจักรเขมร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรเขมร</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ซึ่งมีศูนย์กลางการปกครองที่</em></strong></span><a title="นครวัด" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>นครวัด</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> โดยคนไทยมีการอพยพมาจากดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้และทางใต้ของ</em></strong></span><a class="mw-redirect" title="ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>จีน</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> ผ่านทาง</em></strong></span><a title="ประเทศลาว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A7"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ประเทศลาว</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em> โดยที่มาข้อมูลจากกีวีพีเดีย</em></strong></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>2.มีนักโบราณคดีของไทยที่คิดว่าบรรพรุษของคนไทยไม่ได้หนีไปไหนก็คืออยู่ ณ ที่เดิมมานานแล้ว จากการอธิบายของนักศึกษาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรอย่าง อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ และ อนันต์ ชูโชติ ผู้อำนวยการสำนักศิลปากร 12 ที่ช่วยกันเล่าถึงประวัติศาสตร์คนไทยพร้อมหลักฐานที่ปรากฏชัดเจนจากโบราณสถานเหล่านี้ว่าคนไทยอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยปัจจุบันมานานกว่า 3,000 ปีแล้ว ไม่ได้อพยพมาจากภูเขาอัลไต หรืออพยพมาจากไหน มีหลักฐานทั้งก่อนประวัติศาสตร์ (คือก่อนจะมีตัวหนังสือ) โดยมีหลักฐานจากการขุดค้นหลุมศพที่บ้านปราสาท ซึ่งตั้งอยู่กลางชุมชนปัจจุบัน พบโครงกระดูกมนุษย์ ชายหญิงและถ้วยโถโอชามที่พิสูจน์แล้วมีอายุเก่าแก่ 2,500-3,000 ปี พอๆกับโครงกระดูกมนุษย์โบราณที่พบที่บ้านเชียงและหลักฐานหลังประวัติศาสตร์คือ “ปราสาทหินพนมวัน” และ “ปราสาทหินพิมาย” ซึ่งมีอายุเก่าแก่พันกว่าปี มีจารึกเป็นภาษาเขมรเป็นหลักฐาน เพราะสมัยนั้น ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ตั้งแต่ลพบุรีไปจนถึงกาญจนบุรี ล้วนตกเป็นเมืองขึ้นของ “เขมร” ซึ่งคนไทยสมัยก่อนชอบเรียกว่า “ขอม” ในยุคอาณาจักรชัยวรมันเรืองอำนาจ ภาคอีสานเขาเรียกว่า “เขมรสูง” เพราะอยู่บนที่ราบสูงเมืองสำคัญของเขมรในภาคอีสาน ก็คือ “เมืองพิมาย” จึงมีการสร้างปราสาทหินพิมายไว้ที่เมืองนี้ด้วยสถาปัตยกรรมเขมร จากภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า ประตูปราสาทหินพิมายพุ่งตรงไปยัง ประตูเมืองนครธมในประเทศเขมร และมีการจารึกเรื่องราวไว้บนกำแพงประตูเป็นภาษาเขมรไว้ด้วยแม้ในยุคสุโขทัย สมัยที่ พ่อขุนรามคำแหง เรืองอำนาจ ก็ไม่ได้รุกล้ำ เข้าไปในดินแดนนครราชสีมาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเขมรจนถึงยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งทรงนิยมสร้าง “เมกะโปรเจกต์” เหมือนรัฐบาลไทยสมัยที่แล้ว โดยสร้าง “นครธม” ที่มีกำแพงเมืองยาวด้านละ 12 กิโลเมตร ด้วยหินและด้วยน้ำมือคนล้วนๆสร้างปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขรรค์ อย่างยิ่งใหญ่มีการเกณฑ์ราษฎรชายนับแสนๆคนไปสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์เหล่านี้ จนไม่เป็นอันทำมาหากิน ปล่อยให้ผู้หญิงและเด็กทำไร่ทำนาเลี้ยงหัวหน้าครอบครัว ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานสร้างปราสาทเหล่านี้แทน ทำให้บ้านเมืองเกิดความอ่อนแอในที่สุดอาณาจักรเขมรก็ล่มสลายลงในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ถูก “พระเจ้าอู่ทอง” แห่งกรุงศรีอยุธยา ตีเอาเมืองมาเป็นเมืองขึ้นมากมาย แล้วประกาศตั้งตนเป็นอิสระ ต่อมาในสมัย “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ทรงรวมเอา “เมืองโคราช” กับ “เมืองเสมา” เป็นเมืองเดียวกันเรียกว่า “นครราชสีมา” โดยมี “เมืองพิมาย” เป็นหนึ่งในอำเภอของจังหวัดนครราชสีมาด้วย </em></strong></span><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรต่างๆที่เปรียบเหมือนแต่ละประเทศในปัจจุบัน แต่จากหลักฐานใหม่ที่อ้างอิงนี้ก็ยังไม่สามารถอธิบายหลักฐานอีกข้อทางประวัติศาสตร์ที่ว่า คนไทยใหญ่ในรัฐฉาน คนไทยลื้อในสิบสองปันนะ คนไทยอาหม ในรัฐอัสสัม เป็นเผ่าเดียวกันอย่างแน่นอนโดยพิจารณาจากความเชื่อทางศาสนา ระบบการปกครอง การปลูกสร้างบ้านเรือน วัฒนธรรมและภาษาได้ โดยที่มาของข้อมูลนี้จากคุณ คนไทยอยู่ที่นี่ เมื่อ[14 ก.พ. 50 - 18:38]ได้ทำการโพสต์ไว้ในเวปสนทนาภาษาปืนที่มีความหน้าสนใจเลยเอามาลงไว้เป็นข้อมูลโดยมีข้อมูลบางตอน ซึ่งข้อมูลทั้งหมดดูได้ที่</em></strong></span><a href="http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=36836" target="_blank"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=36836</em></strong></span></a><span style="color:#333333;"><br /><strong><em><span style="font-family:arial;"></span></em></strong></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อย่างไรก็ดียังมีผู้ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเป็นวิทยาทาน ให้แก่ผู้ที่สนใจในเรื่องนี้คือ คุณ #5 โพสต์ในเวปสนทนาเดียวกันนี้เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2007, 06:43:26 AM ได้ทำการโพสต์ไว้ให้ความสำคัญอย่างน่าอ่านโดยมีสาระสำคัญดังนี้</em></strong></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ในการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ มีทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของชนชาติไทยดังนี้ครับ (ย่อมา)"...แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น มีความแตกต่างกันอยู่ 2 ทฤษฎี คือ </em></strong></span><br /></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>1.แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณประเทศจีนในกลุ่มนี้มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไปอีก 3 แนวคิด คือ </em></strong></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>1.1 แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน คือบริเวณมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน </em></strong></span><br /></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>1.2แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนติดพรมแดนรัสเซีย </em></strong></span><br /></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>1.3 แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยอยู่ครอบคลุมบริเวณกว้างขวาง โดยตั้งถิ่นฐานกระจายตัวอยู่ตั้งแต่ทางตะวันออกเฉียงใต้และทางตอนใต้ของจีน ตอนเหนือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งแคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย </em></strong></span><br /></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>2. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นฐานเดิมของชนชาติไทยคือบริเวณที่เป็นประเทศไทยปัจจุบัน ศาสตราจารย์ พอล เบเนดิกต์ (Paul Benedict) นักภาษาศาสตร์และมนุษย์วิทยาชาวอเมริกันได้ทำการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ จากการค้นคว้าทำให้เชื่อได้ว่า ภาษาไทยเป็นภาษาใหญ่ของชนชาติเอเซีย อยู่ในตระกูลออสตริคหรือออสโตรนีเซียน แยกสาขาเป็นพวกไทย ชวา-มลายู และธิเบต-พม่า เผ่าพันธุ์ของคนไทยจึงไม่น่าจะเป็นพวกมองโกลซึ่งอยู่ในบริเวณประเทศจีน แต่น่าจะเป็นพวกชวา-มลายู สาเหตุการรุกรานของพวกมอญ เขมร จากอินเดียเข้ามาในแหลมอินโดจีน น่าจะเป็นเหตุทำให้คนไทยขึ้นไปทางใต้ของจีน แต่เมื่อถูกจีนรุกรานก็ต้องถอยร่นไปในเขตแคว้นอัสสัม ฉาน ลาว ไทย และบริเวณตังเกี๋ย หรือ บริเวณเวียดนามในปัจจุบัน นักวิชาการไทยที่สนับสนุนความคิดนี้คือ นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ผู้ค้นคว้าโดยอาศัยหลักฐาน จากการเทียบโครงกระดูกมนุษย์สมัยหิน ที่ขุดค้นพบในบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี พบโครงกระดูกมนุษย์ที่มีอายุนับหมื่นปี มีร่องรอยความเจริญของมนุษย์ในประเทศไทยเมื่อประมาณ 3,000-5,000 ปี..."นอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับชนชาติไทยอีกตำนานหนึ่ง (ท้าวเทพไททอง) ซึ่งอาจจะไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับมากนัก แต่ก็พึงรับไว้พิจารณาครับ</em></strong></span><br /></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>และตามหลักฐานทางโบราณคดีจากภาพสลักนูนต่ำที่ประสาทนครวัด นครทม ผมได้เอามาร่วมในการพิจารณาเพื่อหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ของโลกใบนี้ให้ความสำคัญกับภาพสลักที่มีอายุกว่าพันปีชิ้นนี้โดยเป็นภาพนักรบโบราณที่มีเสี้อผ้าเครื่องแต่งกายแตกต่างจากทัพของเขมรที่อาจกล่าวได้ว่าทัพนี้ได้เดินทางมาจากพื้นที่ที่มีอุณหภูมิที่ต่ำกว่า ซึ่งสามารถตีความได้จากภาพอย่างหลากหลายโดยนักวิชาการ</em></strong></span><br /></div><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em></em></strong></span></div><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>จิตร ภูมิศักดิ์ ตีความภาพนี้ว่าเป็น “ชาวสยามจากลุ่มน้ำกก” โดยยกหลักฐานด้านนิรุกติศาสตร์ (อักษรศาสตร์) ว่า กุก ในภาษาไทยอ่านว่า กก โดยระหว่างที่อาณาจักรขอมของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 รุ่งเรืองนั้น ชาวสยามแห่งลุ่มน้ำกกที่นำโดยขุนเจื่องซึ่งพงศาวดารล้านนาระบุว่าเป็นผู้ครองอาณาจักรเชียงแสน และเป็นบรรพบุรุษของพ่อขุนเม็งรายมหาราชก็กำลังรุ่งเรืองและทำการรบอยู่กับเมืองแถง ซึ่งชาวแถงเอง ก็มักส่งทหารไปช่วยจามรบขอมอยู่เสมอ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ ที่จะมีการช่วยเหลือกันทางทหารระหว่างสองอาณาจักร<br />ขณะที่ ศ.ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล ตีความว่านี่เป็นกองทหารจากสุโขทัย เพราะเอกสารจีนเรียกคนไทยว่า “เสียม” มานานแล้ว ทั้งยังพิจารณาว่า ทหารแต่งตัวแบบคนป่าที่สลักอยู่นั้นมีใบหน้าที่คล้ายกับคนไทยคือหน้ารูปไข่ คิ้วโก่ง ดังนั้นนี่จึงน่าเป็นกองระวังหน้าจากสุโขทัยที่ส่งมาช่วยเมืองแม่ในฐานะประเทศราช<br />ส่วนนักวิชาการฝรั่งเศสตีความว่านี่เป็นทหารรับจ้างชาวสยาม โดยมีการให้ความเห็นว่ามีลักษณะที่มีการจัดทัพขาดระเบียบวินัยจากในภาพนูนต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับทัพอาณาจักรอื่นๆ</em></strong></span> </div><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ทั้งอายุของนครวัดเกิดก่อนอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1781-1981) ราว 86 ปี (พ.ศ.1656-1695) ทั้งยังเกิดก่อนอยุธยา (พ.ศ.1893-2310) เกือบ สองร้อยปี ที่มาจากคุณ อุเจน กรรพฤิทธิ์ จากบล็อกอุษาคเนย์<a href="http://www.sarakadee.com/blog/sujane/?author=1">http://www.sarakadee.com/blog/sujane/?author=1</a></em></strong></span></div><strong><em><span style="font-family:Arial;color:#333333;"></span></em></strong><span style="color:#333333;"></span><span style="color:#333333;"></span><br /><br /><p><span style="font-family:arial;color:#333333;"><em>จากความคิดส่วนตัวของผู้รวมรวมบทความนี้ คนไทยน่าจะมีวัฒนธรรมทางภาษาเป็นหลักส่วนการตั้งถิ่นฐานนั้นยากแก่การค้นคว้าเนื้องด้วยความเกี่ยวพันธ์อย่างแยกกันไม่ออกระหว่างชนชาติทางเอชียที่มีการผสมปนเปไปมาระหว่างกันในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแถบภูมิภาคพรมแดนจีนติดกับอินเดีย ที่สำคัญคือลักษณะประเพณีและวัฒนธรรมต่างหากที่อาจบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวของชนชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแม่ปลาบู่ทองของชนชาติจ้วง ในมณฑลกวางสี ที่ต่อมากลายเป็นซินเดอเรล่านิทานตะวันตกไป การร้องรำทำเพลง จากคนไทยที่ชอบการเล่นกระทู้เพลงยาว หรือกลองยาวที่ปรากฏอยู่ให้เห็นได้แถบมณฑลยูนาน การทอถักสานที่มีการสะสมความรู้จากชนรุ่นต่อรุ่น การสร้างเรื่อนไม้ การนับถือศาสนา การทรงเจ้าเข้าผี วีถีการต่อสู่ ประเพณีแต่งงาน งานวันสงกรานต์ หรือวัฒนธรรมข้าว เหล่านี้สามารถเชื่อมโยงหมู่คนไทยได้เช่นกันจากเพลงชาติไทยที่หลวงวิจิตรวาทการ ได้แต่งไว้บางส่วนก็มีความน่าสนใจ เช่น ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่คลาด สามารถแสดงให้เห็นว่าชนชาติที่เรียกตนว่าไทยนั้นแท้แล้วมีหลากหลายเผ่า กระจายตัวกันและอยู่แบบรักสันติ คราวใดมีศึกสงครามก็จะทำการรวมพลังกันต่อสู่ และลืมอดีตที่เคยบาดหมางกันไว้ชั่วคราว โดยปกติแล้วคนไทยจะรักบ้านเกิดเมืองนอนไม่นิยมย้ายถิ่นฐาน และมีความห่วงแหนบ้านเกิดกรณีอพยพจากด้านใต้ของจีนนั้น ผมมีความคิดว่าน่าจะมีการกระจายตัว ลงมาตั้งหลักแหล่งกันแล้วในบางส่วนแถบพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงและที่อื่นๆ ที่อพยพอย่างใหญ่นั้นน่าจะเกิดหลังจากการรุ่กรานของชนชาติอื่นหรือสาเหตุอื่นนั้นก็ยากแก่การพิจารณา แต่ก็มีข้อมูลบางประการ ณ ช่วงเวลาของกองทัพกุบไลข่านเข้ามามีอิทธิพลแถบเอเชีย โดยที่เป็นน่าสังเกตุอยู่ว่ากองทัพจากทางเหนือนี้ไม่น่าจะมีความสามารถใช้กองทัพม้าธนูอันเกรียงไกลได้ จำต้องมีกองทัพที่ชำนาญในพื้นที่แถบแหลมอินโดจีนที่มีภูมิอากาศแบบร้อนชื้น โดยกลุ่มชนที่มาใหม่ในดินแดนแหลมอินโดจีนนี้ก็ได้แก่ชนชาติพม่าที่มีเชื้อสายจากชนเผ่าธิเบตและกลุ่มชนชาติไทยหรือไต จากดินแดนแถบยูนานโดยชนชาติที่มิอิธิพลในพื้นที่เอเซียอาคเนย์อยู่ก่อนแล้วได้แก่ชนชาติมอญและอินเดียที่อยู่ในดินแดนแถบลุ่มอิรวะดีและชนชาติเขมรที่มีอิทธิพลอยู่ ณ บริเวณประเทศไทยและกัมพูชาในปัจจุบัน การเข้าทำการรุกด้วยกองทัพที่ไม่ชำนาญภูมิประเทศนั้นเป็นการยากที่จะเอาชนะได้ กองทัพที่มีความเกรียงไกรนี้ จะไม่ใช้ทหารของตนที่ไม่ชำนาญภูมิประเทศและอากาศเข้าทำการรบเป็นแน่ ซึ่งจะให้ทัพใดเข้ารบเพื่อยึดอานาจักร พุกาม และ เขมรในเวลาต่อมานั้นก็คงจะหนีไม่พ้นกองทัพที่คุ้นกับพื้นที่ทั้งสองเผ่านี้เองโดยในปัจจุบันมีข้อสังเกตุว่าชนกลุ่มน้อยที่อยู่กระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาต่างๆนี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือจากกองทัพอันเกรียงไกรที่ทำการรุกมาทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้หรือไม่ ก็ไม่มีนักวิชาการหรือนักโบราณคดีคนใดให้คำตอบได้อย่างแน่แท้ แต่มีเอกสารจากราชสำนักจีนในสมัยพระเจ้ามังกุข่านปี ค.ศ.1253 หรือ พ.ศ. 1796 ได้เล่าถึงการเข้ารุกทำส่งครามกับอาณาจักรต้าลี่ หรือยูนาน ทีมีภาษาและวัฒนธรรมคล้ายคลึกกับกลุ่มคนไทยปัจจุบันมากที่สุดโดยการพ้ายแพ้สงครามของต้าลี่อย่างใหญ่หลวงดังกล่าวทำให้แคว้นต้าลี่ทั้งแคว้นอพยพลงใต้และพบกับอาณาจักรอันอุดมสมบูรณ์โดยได้อยู่ภายใต้อิทธิพลของขอม จนกระทั้งมีความแข็งเกร่งและตั้งราชธานีของตัวเองได้ในที่สุดและหลังจากการบุกยึดและเข้าตีอาณาจักรพุกามของกุบไลข่านได้แล้ว ทางอาณาจักรต้าลี่ใหม่ก็คือ สุโขทัยจึงได้มีการเจรจาการเป็นพันธมิตรกับกุบไลข่าน หรือ เจ้ากรุงจีนเรื่อยมานั่นเอง จากประวัติศาตร์การส่งเครื่องราชบรรณาการที่ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ เป็นเวลาที่พวกมองโกลสามารถโค่นราชวงศ์ซ่งลงได้ และยึดครองจีนได้ทั้งหมด ต่อจากนั้นได้ส่งทูตไปยังอาณาจักรต่าง ๆ เรียกร้องให้ส่งคณะทูตนำบรรณาการไปถวาย หลังจากติดตามดูเหตุการณ์ระยะหนึ่ง พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึงส่งทูตนำบรรณาการไปถวาย แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปกรุงจีนแต่อย่างใดความสัมพันธ์ในลักษณะรัฐบรรณาการมีความสำคัญเรื่อยมาตลอดสมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั่งต้นรัชกาลที่ ๔ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้จึงยุติลง </em></span><em><span style="font-family:Arial;color:#333333;"></span></em></p><br /><p><em><span style="font-family:Arial;color:#333333;"></span></em></p><br /><p><em><span style="font-family:Arial;color:#333333;">ดังนี้การที่จะรู้ว่าที่มาของชาติไทยนั้น ก็ไม่สามารถจำเจาะจงไปได้อย่างแท้จริงและไม่สามารถใช้ลักษณะหน้าตารูปร่างบ่งบอกได้เลยว่าคนไทยหน้าตาเป็นเอเชียแบบไหนได้แน่ชัดเพราะมีความหลากหลายทางเผ่าพันธ์ การจะกล่าวได้ว่าเป็นคนไทยหรือไม่ก็ต้องด้วยภาษาพูดและวัฒนธรรมการแสดงออกเท่านั้นจึงจะสามารถบอกได้ว่าบุคคลนี้เป็นคนไทย เพราะถ้าจะเอาภาษาเขียนก็ดูจะคล้ายกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีภาษาทีเก่ากว่าการสถาปณากรุงสุโขทัยเสียอีก อีกทั้งลักษณะการใช้ราชาศัพท์นั้นในประเทศไทยที่นิยมใช้กันในราชสำนักตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน นั้นมาจากภาษาอะไร ท่านก็ทราบกันดีอยู่ และศิลปะการดนตรีและนาฎศิลก็ดูจะลอกแบบจากนางอัปศราจากวัฒนธรรมของเพื่อนบ้านมาใช้อย่างแนบเนียน การประดับประดาพระราชวังก็มีบางส่วนที่คล้ายกับประสาทขอมโบราณผสมวัฒนธรรมแบบพม่ามอญ และมีอะไรที่เป็นของไทยจริงๆบ้างล่ะ ที่เห็นชัดๆก็ภาษาพูดนั้นแหละ ถ้าท่านมีโอกาสลองเอาไปใช้แถวยูนาน(ต้าลี่)ก็จะรู้ว่าโคตรเดี่ยวกันหรือไม่ครับ.................................................................................ตาแป้น</span></em><br /></p><br /><p>หมายเหตุ</p><br /><p><span style="color:#333333;">โดยจากระยะเวลาการเกิดขึ้นของกองทัพเจกิสข่านอันเกรียงไกลนี้อยู่ในปี </span><span style="color:#333333;">พ.ศ.1750 และเมื่อเปรียบเทียบกับการเกิดของอาณาจักรนครวัด ปีพ.ศ. 1656 -1695 และการล่มสลายในคริสต์ศตวรรษที่ 13 อยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1201 ถึง ค.ศ. 1300 หรือ พ.ศ. 1774 -1843</span><br /></p><br /><p><span style="color:#333333;">สมเด็จพระจักรพรรดิเจงกีส ข่าน มีพระชนมชีพอยู่ตรงกับประมาณ 1 ศตวรรษ ก่อน<a title="พ่อขุนศรีอินทราทิตย์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B9%8C">พ่อขุนศรีอินทราทิตย์</a>ขึ้นครองราชย์และสถาปนากรุง<a title="สุโขทัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%82%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%A2">สุโขทัย</a> ปัจจุบัน พระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการทหารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก </span></p><br /><div align="center"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรโบราณดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน</em></strong></span></div><br /><div align="center"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ภาคกลาง</em></strong></span><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a title="อาณาจักรทวารวดี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B5"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรทวารวดี</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a title="อาณาจักรละโว้" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A7%E0%B9%89"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรละโว้</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a name=".E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.84.E0.B9.83.E0.B8.95.E0.B9.89"></a><br /><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ภาคใต้<br /></em></strong></span><a title="อาณาจักรศรีวิชัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรศรีวิชัย</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a class="mw-redirect" title="อาณาจักรตามพรลิงก์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรตามพรลิงก์</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a name=".E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.84.E0.B8.AD.E0.B8.B5.E0.B8.AA.E0.B8.B2.E0.B8.99"></a><br /><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ภาคอีสาน<br /></em></strong></span><a class="mw-redirect" title="อาณาจักรฟูนาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9F%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรฟูนาน</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a class="mw-redirect" title="อาณาจักรขอม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรขอม</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a name=".E0.B8.A0.E0.B8.B2.E0.B8.84.E0.B9.80.E0.B8.AB.E0.B8.99.E0.B8.B7.E0.B8.AD"></a><br /><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>ภาคเหนือ<br /></em></strong></span><a title="อาณาจักรหริภุญชัย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>อาณาจักรหริภุญชัย</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a title="แคว้นโยนก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>แคว้นโยนก</em></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em><br /></em></strong></span><a title="หิรัญนครเงินยางเชียงแสน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99"><span style="font-family:arial;color:#333333;"><strong><em>แคว้นเงินยางเชียงแสน</em></strong></span></a></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3752193514543932726.post-82156641541603001352008-10-16T12:22:00.000-07:002009-05-19T06:19:14.769-07:00เบื่อคำว่า"กว่า"<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0eGzbT_F-Ap7H2vKykCR4b0GVRlGwHsK2efyI13DxEcC02O9bfkk3X2aaMgi63pb_dtVOeU-z6PzFshapp-CzN3GwABNk-IfiFSj9riwA6Y2ecDn7z8Q23AqbYFnjQrTi3zP1tifKDMw/s1600-h/239482-2.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5258175749140197346" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; CURSOR: hand; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0eGzbT_F-Ap7H2vKykCR4b0GVRlGwHsK2efyI13DxEcC02O9bfkk3X2aaMgi63pb_dtVOeU-z6PzFshapp-CzN3GwABNk-IfiFSj9riwA6Y2ecDn7z8Q23AqbYFnjQrTi3zP1tifKDMw/s200/239482-2.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#339999;"><em> โอโหไอ้นี้นี่มันทำงานอะไรของมันรวยเอ้ารวยเอา พวกเราทำสวนแทบตายเหนื่อยกว่าแล้วยังจนกว่าไอ้หมอนี่อีกทำมาตั้งนานยังไม่มีอะไรเท่ามันเลย มันมีบ้านมีรถแล้ว เรายังเช่าที่สวนทำงานอยู่เลยเมื่อไรจะรวยกะเขาสะทีล่ะพี่ผมเบื่อเต็มทนแล้ว </em></span><br /><span style="color:#339999;"><em></em></span><br /><span style="color:#000000;">ในสังคมมีผู้คนที่หลากหลายอาชีพ มีความคิดที่แตกต่างมากมาย ทั้งผู้มีความคิดว่าไม่มีใครที่จะเหนือข้านี้ไปได้ หรือ กลุ่มของข้าปัญญาชนสุด ความคิดของพวกข้าดีกว่า การตัดสินใจแบบพวกข้าได้ประโยชน์เหนือกว่า ข้านั้นเรียนมามากกว่าต้องมีความคิดที่ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าเป็นคนที่สูงกว่า ทำงานที่มีหน้ามีตามากกว่า พวก เรียนน้อยกว่า เงินน้อยกว่า ต้องมีความคิดต่ำกว่า ก็เพราะระดับความรู้และฐานะต่ำกว่า ท่านคิดแบบนี้หรือปล่าวครับ? ท่านว่าคนเป็นหมอนี้เก่่งไหม คำตอบว่า เก่งสิไม่เก่งจะได้เป็นหมอเหรอ ถ้าจะถามต่อไปว่า ท่านเคยเห็นคนที่เป็นหมอ ซ่อมรถยนต์ หรือ ซ่อมนาฬิกาเก่งๆซักคนไหม ? คำตอบก็คือจะบ้าเหรอ จะไปหาที่ไหนล่ะ คนเขาเป็นถึงขนาดหมอแล้ว จะมาซ่อมรถยนต์หรือ ซ่อมนาฬิกาทำบ้าอะไร คำตอบก็คือถูกครับ จะไปซ่อมหาสวรรค์วิมาณอะไรล่ะครับ เมื่อมีคนเขาเก่งในเรื่องซ่อมเขารับทำอยู่แล้ว แล้วมีคนถามต่ออีกว่าที่ท่านว่าเป็นหมอที่ว่าเก่งหน่ะมันก็ไม่ได้เก่งจริงอะดิ ถ้าเก่งจริงทำไมไม่ไปซ่อมรถยนต์เองล่ะ หรือซ่อมนาฬิกาเองก็ได้ ทำไม่ท่านต้องมาพึ่งคนซ่อมรถยนต์หรือ ช่างซ่อมนาฬิกาที่ไม่จบมัธยมปลายด้วยซ้ำล่ะครับ ก็ไม่เชิ่งถูกครับ เพราะคนเราต่างคนก็ต่างมีดีครับ ต้นไม่ใหญ่อยู่สุขได้เพราะกอหญ้า ฉันใด มนุษย์ผู้คิดว่าตัวยิ่งใหญ่จำต้องอาศัยชาวรากหญ้าด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ก็อย่าทำอะไรในชั้นกว่าให้มากเกินไปนัก เพราะถ้าเลยกว่ามากๆ มันจะกลายเป็นระดับ และเลยระดับมันจะเป็นการเข้ายุกต์ก่อนพระพุทธศาสนา เลยจำต้องมีการแบ่งชั้นวรรณะกันเกิดขึ้น ถึงกับถอยหลังเข้าคลองกันตามระเบียบ ครับ</span> แต่เอไม่แน่ประเทศไทยอาจจะอยู่ในยุคก่อนพุทธกาลอยู่แล้วก็เป็นได้ครับ เพราะดูๆกันแล้วประเทศเสรีประชาธิปไตยแห่งนี้ มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมค่อยๆจะห่างมากขึ้นทุกทีครับ ปัจจุบันที่เห็นๆก็มีอยู่ 3 วรรณะคือ จนดักดาน จน และ แกล้งจน จำพวกวรรณะหลังพวกนี้คือ คือพวกลักษณะนิสัยแบบไม่รู้จักคำว่าพอ หรือไม่พอดี เพราะว่าเป็นอาการแบบพวกหลงไหลไปกับคำว่ากว่า แบบหาที่สุดมิได้ เช่น สวยกว่า รวยกว่า ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่า โดยมาเปรียบเทียบกับคำอีกคำคือคำว่า กู เลยเป็นคำอีกคำคือ รวยกว่ากู เก่งกว่ากู ยิ่งใหญ่กว่ากู เรื่องมันเลยไปกันใหญ่จนกลายเป็นการปัดแข้งปัดขากัน เห็นใครได้อะไรดีกว่าไม่ได้จำเป็นต้องเขามาป่วนหรือชาวบ้านเรียกว่า เสือก ทุกครั้ง<br />โดยการเปรียบเทียบขั้นกว่า More.........than นั้นซึ่งของบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะวัดกันได้ เช่น สวยกว่า ท่านเอาอะไรมาวัดกันครับ ตอบ คือ ตัวตนความคิดท่านคิดเองเออเองไงว่ามันเป็นอย่างที่ท่านว่า หรือคนเขาว่าใช่ไหมครับ ก็ไอ้คำว่ากว่าต้องมานั้งทุกข์ ไขวคว้าดิ้นรน ต่อสู่เพื่อไอ้คำคำเดี่ยวคือกว่า.....แต่ว่าคำว่ากว่าก็มีให้รู้สึกให้เสียใจสุดเสียดายอยู่บ้างก็คือ<span style="color:#ff6600;">..........."กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว"<br /></span>ปล...........................................................เอาไว้คิดเล่น..................................ตาแป้น<br /><br /><a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.clickmeup.net/freewebboard/members/reserve1948/pictures/1200757171.jpg&imgrefurl=http://www.clickmeup.net/freewebboard/view.php%3Fbn%3Dreserve1948%26qID%3D38&h=338&w=450&sz=83&hl=th&start=9&um=1&usg=__uWN0QtK1glpQC1Vd4QJnL2esBTQ=&tbnid=kKA2AqUKrwqtoM:&tbnh=95&tbnw=127&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25AB%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%26um%3D1%26hl%3Dth%26rlz%3D1T4SKPB_enBR288BR289%26sa%3DG"></a></div>teraponghttp://www.blogger.com/profile/05326300949497341723noreply@blogger.com0