วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นักล่าฝัน ที่ข้าคารวะ





ยังมีใครอีกบ้างไหม ที่กล้าฝันและกล้าที่จะต่อสู่กับอุปสรรคของชีวิตจนสามารถไล่ตามความฝันเหล่านั้น และทำให้ฝันเหล่านั้นเป็นจริงในที่สุด แม้ว่าปัจจัยต่างๆที่สนับสนุนหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาเหล่านั้นไม่ได้เอื้อต่อความฝันของเขาเลยแม้แต่น้อย วันนี้เราขอเอาตัวอย่าง ของผู้กล้าฝัน ที่พวกเราอาจรู้จักเขาดี หรือ อาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง แต่เรามาลองรู้จัก เขาเหล่านั้นเพิ่มขึ้นอีกหน่อยครับ


บัวขาว ป.ประมุข หรือ นาย สมบัติ บัญชาเมฆ

เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 ที่บ้านสองหนอง ต.เกาะแก้ว อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ เป็นบุตรของ เล็ง บัญชาเมฆ ซึ่งประกอบอาชีพทำนา มารดา นาง ปาน บัญชาเมฆ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อครั้งเดินทางกลับ หลังจากมาส่ง บัวขาว มาอยู่ประจำที่ค่ายมวย



ประวัติของบัวขาว


บัวขาวเกิดและเริ่มชีวิตอาชีพมวยไทย ตั้งแต่เมื่ออายุได้ 8 ขวบ ที่จังหวัดสุรินทร์ เข้ากรุงเทพมาสังกัดค่ายมวย ป. ประมุข เมื่ออายุได้ 15 ปี
บัวขาวได้รับเข็มขัดแชมป์มาครองเป็นจำนวนมากภายหลังเริ่มอาชีพมวยไทยที่กรุงเทพ ได้แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นเฟเธอเวท แชมป์ประเทศไทยรุ่นเฟเธอเวท และแชมป์ที่เวทีมวยสยามอ้อมน้อยอีกครั้ง ในรุ่นไลท์เวท
ในปีพ.ศ. 2545 บัวขาวชนะเลิศมวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์ ที่
สนามมวยลุมพินี ชนะโคบายาชินักชกชาวญี่ปุ่น
ปีพ.ศ. 2547 บัวขาวชนะเลิศรายการK-1 WORLD MAX 2004 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยชนะจอน เวน พาร์นักมวยไทยชาวออสเตรเลีย โคะฮิรุยมาคิ และมาซาโตะแชมป์เก่าชาวญี่ปุ่น และในปีต่อมา บัวขาวเกือบที่จะรักษาแชมป์รายการ K-1ได้ โดยแพ้คะแนน แอนดี้ ซอเยอร์ ในนัดชิงชนะเลิศอย่างน่ากังขา
ปีพ.ศ. 2549 บัวขาวเข้าชิงชนะเลิศรายการ K-1 WORLD MAX ได้ติดต่อกันเป็นปีที่3 และเป็นแชมป์ได้อีกครั้ง โดยเป็นนักมวยคนแรกในรายการนี้ที่ชนะเลิศสองสมัย
ปีพ.ศ. 2550 บัวขาวเข้าแข่งขันรายการ K-1 WORLD MAX อีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2550 บัวขาวสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้ายโดยชนะคะแนน Nieky "The Natural" Holtzken นักชกชาวฮอลแลนด์ และจะเข้าแข่งขันชิงชนะเลิศในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2550
ข้อมูล
บัวขาว ป. ประมุข
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี





ปัจจุบัน

บัวขาว ป. ประมุข คือนักมวยไทย ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับในวงการการต่อสู้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง ทวีปอเมริกาใต้ บัวขาวสังกัดค่ายมวย ป. ประมุข ส่วนสูง 174 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม บัวขาวจัดเป็นหนึ่งในนักกีฬาอาชีพไทยที่ทำรายได้สูง(หลักล้านบาท) โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากการชกมวยที่ต่างประเทศ

มาดูชีวิตของบัวขาวกันบ้างว่าเขามีความเป็นมาอย่างไรและอะไรเป็นแรงกระตุ้นให้เขาต่อสู่กับอุปสรรค และมีความสำเร็จในชีวิต โดยเขานั้นได้หันหลังในกับการศึกษา โดยเขาประสปความสำเร็จได้อย่างไร

สังเวียนชีวิต "บัวขาว ป.ประมุข" แชมป์โลก "K-1"
เติบโตมาท่ามกลางดง "หมัด เท้า เข่า ศอก"
สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นคนแกร่ง ร่างกายของชายเจ้าของส่วนสูง 176 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัมนั้น ล่ำสัน หน้าอก กล้ามแขน กล้ามหน้าท้อง มองเห็นเป็นลอนๆ เหลือบมองที่กำปั้น เห็นความด้านดำตรงหลังมือ ให้รู้สึกราวกับว่า หากกำหมัดแน่นแล้วกระแทกใส่หน้าใครสักคน เขาคนนั้นอาจล้มพับ ได้นอนนับดาวนับเดือนจนยากที่จะฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่
กับชื่อ "สมบัติ บัญชาเมฆ" น้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าบอกว่านี่ คือชื่อจริงของ "บัวขาว ป.ประมุข" ไม่เฉพาะแฟนมวยชาวไทยเท่านั้นที่ร้องอ๋อ หากแต่ชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก รวมถึงคนจากอีกหลากหลายมุมโลกที่ชื่นชอบแม่ไม้มวยไทย ย่อมรู้จัก กระทั่งอาจเคยได้ชื่นชมกับฝีไม้ลายมือของนักมวยไทยผู้นี้ถึงขอบเวทีมาแล้ว
บัวขาว คือ นักมวยไทยที่หันเหชีวิตไปชกในรายการมวย ซึ่งเป็นรายการมวยชื่อก้องของประเทศญี่ปุ่น-เป็นรายการซึ่งดัดแปลงจากมวยไทย โดยลดอาวุธบางอย่างให้อันตรายน้อยลง บัวขาวเคยคว้าแชมป์ในรายการนี้มาแล้วถึง 2 สมัย รวมถึงได้ตระเวนต่อยในต่างประเทศอยู่หลายแห่ง ทำให้ชาวต่างชาติบางคนถึงกับติดใจ ตามกลับมาเมืองไทย เพื่อร่วมฝึกซ้อมที่ค่าย "ป.ประมุข" จ.ฉะเชิงเทรา นั้นก็มีอยู่หลายราย
บัวขาว เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2525 ที่บ้านสองหนอง ต.เกาะแก้ว อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ เป็นบุตรของ เล็ง บัญชาเมฆ ซึ่งประกอบอาชีพทำนา ทำมาหากินประสาคนในแถบถิ่นนั้น ส่วนแม่-ปาน บัญชาเมฆ นั้น เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อครั้งเดินทางกลับ หลังจากมาส่งเขามาอยู่ประจำที่ค่ายมวย
กับชีวิตบนสังเวียนผ้าใบ...
บัวขาวตระเวนเปรียบมวย ตามงานวัดตั้งแต่ 8 ขวบ กระทั่งอายุได้ 15 ปี เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จึงตัดสินใจก้าวเข้าสู่เวที "หมัด-มวย" อย่างเป็นทางการ โดยการติดตาม "กำนันมุข-ประมุข โรจนตัน" เจ้าของค่าย "ป.ประมุข" มาอยู่ จ.ฉะเชิงเทรา เป็นนักมวยประจำค่าย ขึ้นชกในรายการมวยต่างๆ และได้แชมป์มาแล้วหลายรายการ ก่อนที่จะหันเหไปชกมวย K-1 WORLD MAX และโด่งดังเป็นพลุแตกในที่สุด
สำหรับเข็มขัดแชมป์ในบ้านเราที่บัวขาวเคยได้รับ คือ แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่น 126 ปอนด์, แชมป์ประเทศไทย มวยไทย รุ่นเฟเธอร์เวท 126 ปอนด์, แชมป์เวทีมวยสยามอ้อมน้อย รุ่นไลท์เวท 135 ปอนด์ และแชมป์มวยไทยมาราธอน โตโยต้า รุ่น 140 ปอนด์
ส่วนมวยในรายการ K-1 WORLD MAX เกียรติประวัติที่เขาได้รับ คือ แชมป์ K-1 WORLD MAX 2004 และแชมป์ K-1 WORLD MAX 2006
ในวันที่พักผ่อนสบายๆ ที่ค่าย ป.ประมุข ริมแม่น้ำบางปะกง...
บัวขาวได้บอกเล่าถึงชีวิตที่โลดแล่นอยู่บนสังเวียนผ้าใบ ตลอดจนความเป็นมาของตัวเขา ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น ก่อนที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ จะเหินฟ้าไปชกที่ประเทศเกาหลี เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม ก็มีรายการชกยังต่างประเทศอีก และในนัดสำคัญที่สุดคือ เดือนตุลาคม ซึ่งเป็นศึก K-1 WORLD MAX 2008 และถ้าหากได้แชมป์ในครั้งนี้ เขาจะได้เป็นแชมป์มวยรายการ K-1 WORLD MAX ถึง 3 สมัย...
ซึ่งในโลกนี้ ยังไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนเลย!
อุ่นเครื่อง และฟุตเวิร์กให้พร้อม แล้วไปรู้จักกับเขา
- ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไร?
ก็เหมือนเด็กชนบททั่วไป คือ เรียนอยู่ในหมู่บ้าน เล่นกับเพื่อนเล่นเด็กๆ ทั่วไป เป็นเด็กซน ชอบไปดูการชกมวยตามงานวัดต่างๆ กระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า อยากขึ้นชกบ้าง เพราะเห็นแล้วรู้สึกว่า เท่ดี เห็นการเตรียมตัวก่อนชก มีเทรนเนอร์มานวดนักมวย ดูแลนักมวย รู้สึกว่าอบอุ่นดี ก็เลยมาเริ่มซ้อมมวยบ้าง แต่ก็เป็นการซ้อมเหมือนเด็กชนบททั่วไป คือ มีกระสอบทราย (แกลบใส่ถุงปุ๋ย) แขวนใต้ถุนบ้าน เตะ ต่อย ตามประสาเด็ก มีผู้ใหญ่แถวบ้านคอยสอนให้ ก็ธรรมดาคนไทย ที่ชอบดูมวย ไม่ได้มีหลักการอะไรหรอก
พออายุประมาณ 9 ขวบ คนในหมู่บ้านเขาเห็นผมซ้อมมวย เมื่อมีงานวัด มีการเปรียบมวย เขาก็เลยชวนไปเปรียบมวยด้วย ผมเองก็อยากต่อยอยู่แล้ว ก็เลยไป ทางด้านพ่อแม่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะค่อนข้างจะตามใจ ลูกอยากทำอะไรก็ให้ทำ
- เปรียบมวยครั้งแรกในชีวิตเป็นอย่างไร?
ผมอยากชกมาก วันนั้นรู้สึกว่าไม่กลัว ยังไงก็จะขึ้นชกให้ได้ และก็เกือบจะไม่ได้คู่ชก เพราะว่า คนเปรียบมวย เขาไม่เคยเห็นเราชกมาก่อน ก็ไม่ค่อยมีใครอยากประกบคู่ด้วย วิธีเปรียบมวยตามต่างจังหวัดนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จ ได้คนชกในรุ่นเดียวกัน เขาก็จะเอาคนที่เป็นตัวหลักออกมายืน แล้วถามว่า ใครอยากชก ให้ก้าวออกมายืนเทียบกัน ดูว่าเหมาะสมกันมั้ย ซึ่งคนที่เคยชกมาก่อนแล้ว จะหาคู่ได้ง่ายหน่อย ส่วนคนที่ยังไม่เคยชก เขาจะไม่เคยเห็นชก จึงไม่ค่อยอยากให้นักมวยที่เป็นตัวหลักนั้นชกด้วย
วันนั้น มีตัวยืน แล้วก็เรียกให้คนมาเปรียบ เมื่อเขาถามว่า ใครอยากชก ผมกับพี่เลี้ยงก็มองหน้ากัน ก่อนที่ตัวเองจะก็ตัดสินใจก้าวออกไป เพราะตอนนั้น รู้สึกว่าอยากชกมากๆ เลย ครั้งนั้นก้าวออกไปเปรียบมวย 2 คน แต่คนที่เป็นตัวหลักหรือตัวยืนนั้น เขาเลือกที่จะชกกับผม เปรียบมวยในตอนเช้า พอตกเย็นก็ชกเลย ด้วยฉายา "ดำทมิฬ เกียรติหมู่ 4" ชก 3 ยก ผมชนะน็อคยก 3 จำไม่ได้แล้วว่า ชนะด้วยอาวุธใด เพราะตอนนั้นก็ขึ้นเวทีครั้งแรกด้วย ออกจะมั่วๆ หน่อย (หัวเราะ)
ชนะครั้งนั้น ได้เงินรางวัลมา 100 บาท เป็นเงินก้อนแรกในชีวิตที่ได้ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเยอะมาก ให้พ่อไปหมดเลย พ่อก็เอาไปสมทบกับเงินเก็บของท่าน ซื้อทีวีเครื่องใหม่
- ชนะครั้งนั้นแล้วเป็นอย่างไร?
คนในหมู่บ้านเริ่มหันมาสนับสนุน มาช่วยซ้อม ช่วยสอนให้ แต่ก็ไม่เป็นระบบเหมือนค่ายมวยใหญ่ที่ไหน ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคือฮึกเหิม อยากต่อยอีกเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเวลาหมู่บ้านในละแวกนั้นๆ ในตำบล อำเภอนั้นๆ มีงานวัด มีการชกมวย ก็ผู้ใหญ่เขาพาไปเปรียบมวยขึ้นชก ก็ตระเวนต่อยไปเรื่อยๆ 200-300 ไฟท์ได้มั้ง แพ้บ้าง ชนะบ้าง คละเคล้าปนกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็ชนะ ทำให้ระยะหลังๆ เราไม่ต้องไปเปรียบมวยให้เสียเวลาแล้ว เพราะเวลามีรายการต่อยที่ไหน เขาก็จะเชิญเราไป มีคนมาพาเราไปชกเลย
- ช่วงนั้นเรียนไปด้วย ชกมวยไปด้วย?
ครับ ก็เรียนจนกระทั่งจบชั้น ม.ต้น พอดีกับช่วงที่กำนันมุข เขาไปหานักมวยในละแวกบ้าน มาเป็นนักมวยประจำของค่าย ป.ประมุข ตอนนั้นเขาพานักมวยคนอื่นมาเป็นนักมวยประจำค่าย ไม่ใช่ผม แต่ผมเองอยากมาด้วย ก็ขอเขา เมื่อเขาอนุญาต ก็ตัดสินใจว่าจะเรียนต่อหรือจะออกมาเป็นนักมวยดี คิดหนักอยู่คืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็บอกพ่อกับแม่ว่า จะเลือกเดินในเส้นทางนี้ จึงได้ติดมาเป็นนักมวยของค่ายด้วย
แต่ก่อนหน้านั้น ช่วงปิดเทอมก็เคยมีโอกาสได้มาเห็นค่ายมวยที่นี่แล้ว มาอยู่ซ้อมในช่วงปิดเทอม ก็ไปๆ มาๆ กระทั่ง จบ ม.3 อายุราว 15 ปี จึงมาอยู่ยาว เป็นนักมวยอย่างเต็มตัว
- ไม่อยากเรียนต่อแล้ว?
รู้ตัวเองดีว่าเป็นคนเล่นกีฬาเก่ง ครูอาจารย์ เพื่อนนักเรียนก็จะรู้ เคยมีโรงเรียนหนึ่งให้โควต้านักกีฬาไปเรียนต่อ ม.ปลาย แต่ตอนนั้นก็ได้ปรึกษากับแม่ แม่ว่า ให้เราเลือกเอง เอาอย่างใดก็ได้อย่างหนึ่ง จะเรียนหรือจะต่อยมวย เอาให้ได้ดีสักอย่าง ผมรู้ว่าตัวเองเรียนไม่ค่อยเก่ง สมองไม่ดี ก็เลยตัดสินใจมาเป็นนักมวยดีกว่า เพราะเรื่องเรียนนั้น ผมไม่ค่อยสนใจ แต่ไม่เคยเกเร หนีเรียน หนีเที่ยว ไม่เคยนะ เข้าเรียนตลอด แต่ว่า มักไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ครูสอนเลย เป็นนักเรียนหลังห้องมาตลอด
แน่ชัดแล้วว่าตัวเองไม่ชอบเรื่องเรียน ก็เลยตัดสินใจเป็นนักมวย
- ชีวิตที่ค่าย ป.ประมุข เป็นอย่างไร?
เริ่มแรกก็มาเรียนรู้ชีวิตที่ค่ายก่อน ยังไม่เป็นนักมวยสังกัด ก็มาซ้อมเหมือนเขา ทำเหมือนเขาทุกอย่าง แต่อาจจะไม่ทรหดเท่า ซ้อมอยู่ที่นี่ นานเข้า เห็นนักมวยดังๆ ซ้อม และชก ก็เริ่มรู้เทคนิค เริ่มรู้ว่านักมวยดังเขาทำอย่างไร จากนั้นก็เริ่มฝัน เริ่มอยากเป็นอย่างเขาบ้าง
ซ้อมอยู่เกือบเดือน และก็ได้ขึ้นชกครั้งแรกในสังกัดค่ายมวย ป.ประมุข ที่เวทีมวยลุมพินี ปรากฏว่าแพ้ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเป็นครั้งแรกในเวทีใหญ่ของเราจริงๆ ความจริงคนที่มาเป็นนักมวยในสังกัดค่าย ต้องซ้อมเป็นปีกว่าจะได้ชก แต่ทางผู้ใหญ่เห็นว่าผมขยันซ้อม มุ่งมั่น จริงจัง จึงอยากให้ขึ้นชก โดยมองว่าจะแพ้ชนะก็ไม่เป็นไร เป็นการหาประสบการณ์
การฝึกซ้อมของที่นี่ ตื่นเช้าประมาณตี 5 ครึ่ง 6 โมงเช้าก็ออกวิ่งรวมระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร จากนั้นก็มาซ้อมตามระบบต่างๆ ที่จัดให้ ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น เตะกระสอบ เตะเป้า ปล้ำ ทวนเชิง เล่นกระสอบ ถีบ ต่อยแป้น ต่อยหมัด เสริมกำลังขา มีเทรนเนอร์คอยสอนให้ คือเขาจะมานั่งคุม ดูว่าเราออกอาวุธอย่างนี้ดีไหม แบบไหนสวย แบบไหนไม่สวย เขาจะคอยแก้ให้ ค่อยๆ ฝึกไปทีละนิด ซ้อมไปเรื่อยๆ 9 โมงกว่าก็เลิก ตกเย็นประมาณบ่าย 3 โมง ก็กลับมาซ้อมอีกรอบ กว่าจะเลิกก็ประมาณ 1 ทุ่ม
เรื่องอาหารการกินก็มีแม่ครัวมาทำให้ แต่ก็ได้ยินมาบ้างว่าบางค่ายเขาไม่ค่อยสนใจนักมวย ซื้ออาหารถุงให้กินเลย ตอนนี้ค่าย ป.ประมุข มีนักมวยในสังกัดประมาณ 5-6 คน
- ทำไมถึงได้ชื่อ "บัวขาว" หรือเห็นว่าผิวดำ?
(หัวเราะ) ก็อาจจะมีส่วนอยู่ด้วยเหมือนกัน คือ กำนันมุข เขามีชื่อให้เลือกอยู่สองชื่อคือ "ห้าห่วง" (ตอนนั้นโฆษณากระเบื้องห้าห่วงกำลังดัง) กับ "บัวขาว" ผมเลือกชื่อหลัง
นานแค่ไหน จึงได้ไปชกในศึก K-1 WORLD MAX ?
ในเมืองไทยหากนับตั้งแต่ที่มาอยู่ค่าย ป.ประมุข ตอนอายุ 15 ปี ชกประมาณ 70-80 ไฟท์ได้ ผลก็แพ้ชนะ คละเคล้ากันไป แต่ส่วนใหญ่ก็ชนะบ่อย ทำให้มีคนติดตาม กระทั่งอายุได้ 21 ปี ก็มีคนจัดรายการมวย K-1 WORLD MAX มาติดต่อให้ไปต่อยในรายการนี้ ซึ่งเป็นมวยที่มีกติกาเฉพาะ เช่น ห้ามใช้อาวุธบางจำพวก อย่างเช่น ศอก เข่า
จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ห้ามการใช้ศอก เข่า แต่พอเราไปน็อคคู่แข่งด้วยอาวุธพวกนี้ เขาเริ่มห้ามใช้ ห้ามไม้ตายเราเลย ยอมรับว่าเป็นอุปสรรคสำหรับนักมวยไทยพอสมควร
มวย K-1 WORLD MAX เป็นรายการมวยของประเทศญี่ปุ่น ปีหนึ่งจัดทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งหนึ่ง โดยเอานักมวยจากทั่วโลกมาชกกัน ผลัดเปลี่ยนกันชกไปเรื่อยๆ จากนั้นกรรมการของศึก K-1 WORLD MAX ก็จะมาดู เอานักมวย 16 คนมาประกบกัน ชกชนะก็จะเหลือ 8 คน คราวนี้จะจัดเป็นทัวร์นาเมนต์แล้ว เรียกว่าศึกชิงแชมป์ K-1 WORLD MAX เป็นมวยรุ่น 70 กิโลกรัมรุ่นเดียว ต่ำกว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าน้ำหนักเกินก็ไปลดมา จะชกวันเดียวจบ จาก 8 คน เหลือ 4 คน จากนั้นก็เหลือ 2 คน ในนัดชิงชนะเลิศ ต่อยวันเดียวเลย 3 ไฟท์ ไฟท์ละ 3 ยก รวมก็ 9 ยก
ชกทุกครั้งผมก็จะมีน้ำหนักอยู่ประมาณ 68-69 กิโลกรัม ไม่เคยเกินนี้ ถ้าเทียบกับนักมวยต่างชาติแล้ว เขาตัวใหญ่มาก เรียกได้ว่าสะบักสะบอมมาก ได้แชมป์ครั้งแรกได้เงินรางวัล 10 ล้านเยน คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3 ล้านกว่าบาท ก็เริ่มมีชื่อเสียงแล้ว คนเริ่มรู้จักบัวขาว ชาวต่างชาติเริ่มรู้จักมากขึ้น
- คนไทยเคยมีใครไปชก K-1 WORLD MAX มาก่อน?
มี 2 คน คือ สะเก็ดดาว เกียรติภูธร กับ เก้าล้าน เก้าวิชิต แต่ว่าก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ ไม่มีใครเคยได้แชมป์กลับมา
- ชกมวยนานๆ สุขภาพมีปัญหา ?
ก็อยู่ที่เราจะรักษาร่างกายตัวเอง สำหรับผม ก็ตรวจร่างกายทุกปี ตรวจสุขภาพประจำปี ส่วนการชกในแต่ละรายการที่เราเดินทางไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะจัดงานจะขอให้เราตรวจอะไรมาบ้าง ที่ว่าชกมวยนานๆ ทำให้มึน ทำให้ตาบอด จริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่จะเกิดกับมวยสากลมากกว่า เพราะว่ามวยไทยนั้น ยังมีการป้องกันได้ ไม่โดนตรงๆ
เคยชกแล้วบาดเจ็บครั้งที่หนักสุด ก็ตอนต่อยมวยไทยที่ลุมพินี แค่แตกและเย็บ
- วางแผนอนาคตไว้อย่างไร?
ตอนนี้ยังไม่ได้วาง คิดว่าทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุดก่อน แล้วค่อยไปคิดอีกที เพราะหากเราวางแผนแล้วยังไม่มีเงินทำ ก็ไม่รู้ว่าจะหวังทำไม เรื่องครอบครัวก็ยังไม่คิดจะมีตอนนี้ คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม ไม่ค่อยมีเวลา เลยยังไม่มีแฟน เรื่องสาวๆมารุมจีบนั้นไม่มี เพราะเราอยู่ในความนิยมของต่างชาติ คิดว่าสาวไทยเขาชอบหนุ่มหน้าตาแบบชาวเกาหลีมากกว่านะ (หัวเราะ)
ที่แน่ๆ คือ สักอายุ 30 ปีก็คงจะหยุด ส่วนจะกลับบ้านหรือจะอยู่ที่นี่ต่อก็ยังไม่ได้วางแผน ตอนนี้ก็ยังมองหาลู่ทางไปเรื่อยๆ อาจจะไปเป็นเทรนเนอร์ตามต่างประเทศ ก็มีคนทาบทามมาเหมือนกัน แต่นั่นคือความคิดสุดท้ายแล้ว
- คิดอย่างไรกับเรื่อง "ล้มมวย"?
ก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่ถ้าให้ผมทำอย่างนั้น ให้ผมเลิกชกซะเลยจะดีกว่า มันเหมือนทำลายอาชีพตัวเอง อาชีพนี้ผมตั้งใจมาก เพราะเลือกเดินมาทางนี้แล้ว...
นี่คืองานของผมซึ่งต้องทำให้ดีที่สุด


ข้อคิดจาก ประวัติคุณ บัวขาว นี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้เด็กๆไทย หรือ คนอีกทั้วโลก ที่มีความฝันโดยมีชีวิตที่เลือกไม่ได้ แต่เลือกที่จะต่อสู่กับชีวิต และหาหนทางไปสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ได้ โดยให้ดูชีวิตของบุคคลคนนี้เป็นแบบอย่างได้เป็นอย่างดี ครับ อย่างพึ่งท้อ หรือ ท้อได้แต่อย่างถอยครับ


วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2552






ลำลึกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย กับ หัวใจของความเสมอภาคทางสังคม






ด้วยความมุ่งมั่น ที่จะทำให้สังคมนั้นไม่มีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยมากเกินไป ชาวนาและกรรมกรผู้ยากจน ถูกเอารัดเอาเปรียบ และ ถูกกดขี่ข่มเหง จากกลุ่มชนชั้นทางสังคม และการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน นำมาซึ่งความแตกแยก โดยเขาทั้งหลายมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงทางสังคมให้เสมอภาคหรือไม่แบ่งแยก หรือ มีความแตกต่างกันมากจนเกินไป และตราบใดปัญหาเหล่านี้ยังไม่ถูกแก้ไข ลัทธิความเชื่อที่ต้องการความเท่าเทียมเหล่านี้จะต้องหวนกลับมาอีกครั้งดังสัญลักษณ์ของ ธงสีแดงที่ปลิวโบกสบัด เป็นสัญญาณแห่งการต่อสู่ของชนชั้นแรงงานและกรรมกร ที่อยู่ในรูป ฆ้อน และ เคียว และความแน่วแน่ที่ยังคงรอคอยคำตอบจากความล้มเหลวของระบบทุนิยมที่ยังครุกลุ่นอยู่เสมอ
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยสหายโฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน

วันเสียงปืนแตก
วันเสียงปืนแตก คือวันที่
7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก กองกำลังของพรรคได้เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เหตุเกิดที่ บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ทั้งนี้ได้ประกาศยุทธศาสตร์"ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมือง" หลังจากวันเสียงปืนแตก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยก็ต่อสู้ด้วยอาวุธกับกองกำลังของรัฐบาลไทยมาตลอด จนกระทั่งปี พ.ศ. 2525 มีการเจรจากับรัฐบาลไทย เลิกต่อสู้กันด้วยอาวุธ ให้มาต่อสู้กันทางรัฐสภาแทน

ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แม้ตามกฎหมายแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ฯ จะยังไม่ใช่พรรคการเมือง เนื่องจากไม่เคยจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติแล้วต้องถือว่าเป็นพรรคการเมืองจริง และมีอุดมการณ์ทางการเมืองชัดเจนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง คือดำเนินแนวทางตาม ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน และความคิดเหมาเจ๋อตง

จากเหตุการณ์ทางสังคมไทยที่ผ่านมา มีการใช้กติกา แบบ สองมาตรฐาน เช่นการตุลาการภิวัฒน์ ตามด้วย การชุมนุมของคนเสี้อเหลือ และ การชุมนุมขอคนเสื้อแดง โดยการดำเนินการทางกฏหมาย ไม่ได้อยู่ในหลักการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน การที่ทหารเข้ามามีบทบาททางการเมือง โดยการปฏิวัติ โดยอ้างความชอบธรรมเช่นเดิม ซึ่งเป็นการล้มกระดานหมากรุก และเขียนกฏการเล่นแบบใหม่ จนบางคนเบื่อที่จะเล่นด้วย เพราะถ้าเล่นแล้วกูจะชนะไม่ว่าแต่ถ้ากูแพ้ขึ้นมากูก็จะล้มกระดานหากฎใหม่อยู่ร้ำไป แบบไอ้ขี้แพ้ชวนตีเหมือนเช่นเคย แต่คราวนี้มันน่าเกลียด ชาวบ้านเขามองอยู่ดูแล้วมันแทงตาว่าไอ้ห่านี้มันโกงนี่หว่า มันจะเล่นให้เอาชนะอย่างเดียวแพ้ไม่เป็น มันลูกผู้ชายใส่ผ้าถุง คนที่เห็นบางคนเขาก็รับไม่ได้ มันจึงทะเลาะกันอยู่ไม่เลิกไม่ลาอย่างนี้ ก็เพราะการไม่เคารพ กติกา นี่เอง การเป็นขี้แพ้ ชวนตี นี้ ท้ายสุด พวกนี้จะไม่มีใครหน้าไหน เขาคบค้าสมาคมด้วย เพราะเขารู้ว่าเป็นนักเลงแบบสวมผ้าถุง โดยร้องหาความสมานฉันท์ และความปรองดอง พร้อมเป่าประกาศ ว่ากติกาใหม่มาแล้ว มาเล่นกันอีก คราวนี้กูไม่แพ้แน่ นี้เหรอจะไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม เขาคิดว่าชาวบ้านกรรมการ ชาวนาโง่ จงรู้ด้วยว่าเขาเข้าใจประชาธิปไตย ดีกว่าใครหลายคน เสียอีก เพราะตอนนี้เขารู้ว่า เขาเลือกใคร แล้ว ประเทศจะเจริญ และมีความเท่าเทียมในสังคม กว่ากัน เพราะว่าในตอนนี้การทีพวกคุณได้สร้างรอยร้าว ไว้ให้แก่สังคมไทยด้วยระบบสองมาตรฐานไปแล้วนั้น ก็เหมือนว่าได้ปลุกยักษ์แดง ที่หลับไหลใหตื่นจากพวังค์ และ พร้อมที่จะระเบิดความเกรี้ยวกราดจากความบอบช้ำที่เคยได้รับ โดยรอวันประทุในวันใดวันหนึ่งเตรียมตัวให้ดี ขอฝากว่า คนเราทำอะไรก็ได้อันนั้น ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา ขอเชิญคุณผู้ฉลาดเก็บเอาไปคิดเถอะ
***ในบล็อกความคิดนี้ ไม่ได้มีเจตนา ทำร้ายประเทศหรืออย่างไร แต่ขอมอง สังคมอีกมุมหนึ่งในแวดล้อมของชนชั้น กรรมกรและ ผู้ใช้แรงงาน อีกหลายล้านคน ทั่วประเทศ ที่เขาได้รับ สวัสดิการทางสังคม จากรัฐบาลที่ผ่านมา นี่ก็คือบทพิสูจน์ การทำงานของรัฐบาลในชุดปัจจุบันนี้ ว่าจะทำให้ประชาชนไทยทั่วไป และชนชั้นแรงงานในสังคม ยอมรับได้มากขนาดไหน เราต้องดูกันต่อไป